วันเสาร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2557

โภคะที่สำเร็จได้ด้วยนึกเอาไม่มีเลยฯ

                                                    อจินฺติตมฺติ ภวติ  จินฺติตมฺปิ วินสฺสติ
                                              น หิ จินฺตามยา โภคา อิตฺถิยา ปริสสฺส วาฯ
                                   สิ่งที่ไม่ได้คิดไว้ ย่อมมีได้ สิ่งที่คิดไว้ ก็เสียหายได้ โภคะของสตรี
                                              หรือบุรุษที่สำเร็จได้ด้วยนึกเอาไม่มีเลยฯ

                                                                                             
                                                                                         (มหาชนกโพธิสตฺต) ขุ. ชา. มหา. ๒๘/๑๖๗.
        บัดนี้ จักได้อธิบายธรรมตามธรรมสุภาษิต ที่มาในเรื่อง มหาชนกโพธิสัตว์ ตามพระบาลี ที่ได้ยกมาข้างต้นนี้ เพื่อเป็นการเผยแพร่ธรรมทางพระพุทธศาสนา ให้พุทธศาสนาสนิกชนทั้งหลายเกิดความรู้ ความเข้าใจและสามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม  ก่อนอื่นขอกล่าวที่มาของธรรมสุภาษิตบทนี้  ในสมัยที่พระสัมมาพุทธเจ้าเสวยพระชาติเป็นมหาชนกโพธิสัตว์เป็นราชโอรสของกษัตริย์เมืองมิถิลา ซึ่งต่อมาโดนแย่งชิงพระราชบันลังก์จากพระอนุชาที่เป็นกษัตริย์ในปัจจุบัน ครั้นเมื่อมหาชนกกุมารย่างเข้าวัยหนุ่มก็ได้เดินทางไปทำค้าขาย ร่วมกับพ่อค้าชาวสุวรรณภูมิเพื่อต้องการจะนำทรัพย์สินที่ได้จากการค้าขายไปหาทางต่อสู้เอาราชสมบัติเมืองมิถิลาคืนมา ในระหว่างทางเกิดพายุใหญ่โหมกระหน่ำ คลื่นซัดจนเรือจวนจะแตก บรรดาพ่อค้าและลูกเรือพากัน ตระหนกตกใจ บวงสรวง อ้อนวอนเทพยดาขอให้รอดชีวิต ฝ่ายมหาชนกกุมารเมื่อทรงทราบว่าเรือจะจมแน่แล้ว ก็เสวยอาหารจนอิ่มหนำ ทรงนำผ้ามาชุบน้ำมันจนชุ่ม แล้วนุ่งผ้านั้นอย่างแน่นหนา ครั้นเมื่อเรือจมลง เหล่าพ่อค้ากลาสีเรือทั้งปวงก็จมน้ำ กลายเป็นอาหารของสัตว์น้ำไปหมด แต่มหาชนกกุมารทรงมีกำลังจากอาหารที่เสวย มีผ้าชุบน้ำมัน ช่วยไล่สัตว์น้ำและช่วยให้ลอยตัวอยู่ในน้ำได้ดี จึงทรงแหวกว่ายอยู่ในทะเลได้นานถึง ๗ วัน ฝ่ายนางมณีเมขลาเทพธิดาผู้รักษามหาสมุทรได้รู้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นก็สรรเสริญความเพียรของมหาชนกกุมารและช่วยอุ้มพามหาชนกกุมารไปจนถึงฝั่งเมืองมิถิลา ในเมืองมิถิลากษัตริย์เพิ่งสวรรคตไปยังไม่มีใครขึ้นปกครองเพราะไม่สามารถหาผู้ที่มีความสามารถผ่านข้อทดสอบต่างๆได้ ต่อมามหาชนกกุมารได้รับการแต่งตั้งเป็นพระมหากษัตริย์ เพราะด้วยบุญวาสนาและความสามารถทางปัญญาที่สามารถผ่านการทดสอบได้อย่างง่ายดาย เมื่อพระมหาชนกประทับพระราชอาสน์ ภายใต้เศวตฉัตรทอดพระเนตรสิริวิลาสอันใหญ่ดั่งสิริของท้าวสักกเทวราช ก็ทรงระลึกถึงความพยายามที่พระองค์ได้ทำในมหาสมุทร จึงทรงนมสิการว่า ชื่อว่าความเพียร ควรทำแท้ ถ้าเราไม่ได้ทำความเพียรในมหาสมุทร เราจักไม่ได้สมบัตินี้ เมื่อทรงระลึกถึงความเพียรนั้นก็เกิดปิติโสมมนัสซาบซ่าน จึงทรงเปล่งพระอุทานด้วยกำลังพระปิติตรัสว่า 
 “บุรุษผู้เป็นบัณฑิตพึงหวังเข้าไว้  ไม่พึงเบื่อหน่าย เราเห็นการเป็นพระราชาสมปรารถนาแก่ตน บุรุษผู้เป็นบัณฑิตพึงหวังเข้าไว้ ไม่พึงเบื่อหน่าย เราเห็นตนเองถูกอุ้มจากน้ำขึ้นสู่บก บุรุษผู้เป็นบัณฑิตพึงพยายามเรื่อยไป ไม่พึงเบื่อหน่าย เราเห็นการเป็นพระราชาสมปรารถนาแก่ตน บุรุษผู้เป็นบัณฑิตพึงพยายามเรื่อยไป ไม่พึงเบื่อหน่าย เราเห็นตนเองถูกอุ้มจากน้ำขึ้นสู่บก นรชนผู้มีปัญญาแม้ได้รับทุกข์แล้ว ก็ไม่พึงตัดความหวังที่จะถึงความสุข จริงอยู่ ผัสสะทั้งที่ไม่มีประโยชน์เกื้อกูลและมีประโยชน์เกื้อกูลมีเป็นอันมาก คนเหล่านั้นไม่ตรึกถึงข้อนี้จึงถึงความตาย  สิ่งที่ไม่ได้คิดไว้ ย่อมมีได้ สิ่งที่คิดไว้ ก็เสียหายได้ โภคะของสตรี หรือบุรุษที่สำเร็จได้ด้วยนึกเอาไม่มีเลยฯ
         โภคะ หมายถึง ทรัพย์ สมบัติ จากข้อความในประโยคข้างต้น หมายถึง ทุกอย่างอาจไม่ได้ตามที่คิด สิ่งที่คิดและหวังก็อาจไม่ได้ หรือสิ่งที่ไม่หวังก็อาจเกิดขึ้นได้  มุ่งให้คนเรามีปัญญาพิจารณาว่าอะไรจำเป็นหรือไม่จำเป็น อย่าคิดหวังอะไรแบบสร้างวิมานในอากาศเพราะไม่มีสำเร็จด้วยความหวังหรือการคิดเอา หรือไม่มีทรัพย์ที่เกิดขึ้นได้ด้วยการคิดเพียงเท่านั้นต้องลงมือกระทำ  ดังเช่น เมื่อต้องการเป็นคนร่ำรายมีฐานะมั่นคงจะมัวมาคิดหวังหรืออ้อนวอนร้องขอเทวดาก็คงไม่สำเร็จ  ควรทำงาน/ประกอบอาชีพหารายได้ ในการประกอบชีพหรือทำการงานอะไรนั้น ควรพัฒนาตนเองให้มีความรู้ความสามารถในเรื่องนั้นๆ มุ่งมั่นในการทำงานและพัฒนางานอย่างเนื่อง ก็จะทำให้มีรายได้อย่างต่อเนื่องหรือเพิ่มขึ้นได้ นอกนั้นต้องรู้จักเก็บออม รู้ว่าอะไรควรใช้จ่ายหรือไม่ควรใช้จ่าย  รู้จักกินรู้จักใช้สิ่งของอย่างพอประมาณเมื่อทำต่อเนื่อง โอกาสพบความสำเร็จมีทรัพย์สินร่ำรวยมีฐานะมั่นคงสูง
       พระพุทธองค์ทรงแสดงถึงวิธีที่จะให้เกิดทรัพย์อันจะให้เกิดความสุขไว้ ในปัจจุบันมี ๔ ประการ คือ
       ประการที่๑ ขยันทำงาน คนที่ขยันทำงานเท่านั้นจึงจะหาเงินได้ จึงกล่าวไว้ว่า ความยากจนจะไม่มีในหมู่คนขยัน คนที่เกียจคร้านเท่านั้นจะไม่มีทางหาเงินได้ ลักษณะของคนขยันนั้น ท่านแสดงไว้ 3 ประเภท คือ
      ๑.๑ รีบทำธุรการงานที่ต้องทำโดยไม่ปล่อยให้ค้าง คือ ไม่ทิ้งงาน
      ๑.๒ รีบทำงานที่มาถึงมือโดยไม่ปล่อยให้ชักช้า คือ รีบทำทันที
      ๑.๓ ทำงานตามเวลา ไม่ผัดวันประกันพรุ่ง
     ประการที่ ๒ รักษาทรัพย์ เมื่อหาทรัพย์มาได้แล้ว ก็ต้องรักษาทรัพย์นั้นไว้ให้ดี ไม่ให้มีอันตราย   อันตรายที่จะให้ทรัพย์ต้องสูญเสียไปนั้น ที่สำคัญที่สุดคือ อบายมุขทางเสื่อมเสีย พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า อบายมุขนี้เป็นอันตรายแก่ทรัพย์ ถ้าผู้ใดประพฤติอบายมุขแล้ว ทรัพย์ที่หามาได้นั้นจะไม่มีเหลืออยู่เลย
      ประการที่ ๓ คบคนดี คนที่ดีถ้าเราได้มาเป็นเพื่อน เราก็จะกลายเป็นคนดีไปด้วย ถ้าเราไปคบคนไม่ดี ก็จะกลายเป็นคนที่ไม่ดีไปด้วยคนที่เสียคน ก็เพราะไปคบคนไม่ดี การคบกันนั้นเป็นเชื้อโรคชนิดหนึ่ง ซึ่งสามารถติดต่อกันง่าย ดังพุทธภาษิตว่า คบคนเช่นไร ย่อมเป็นคนเช่นนั้น คนที่ดีก็คือคนที่ประพฤติชอบด้วยกาย วาจา ใจ เราคบคนที่มีความประพฤติชอบ ด้วยกาย วาจา ใจ นี่แหละชื่อว่าคบ คนดี
      ประการที่ ๔ ประหยัด การเลี้ยงชีวิตตามสมควรแก่กำลังทรัพย์ที่หามาได้ เมื่อหามาได้แล้ว ก็ต้องกิน ต้องใช้ แต่ว่าท่านให้กินให้ใช้อย่างประหยัด ความเป็นอยู่ของแต่ละครอบครัวนั้นไม่เหมือนกัน บางครอบครัวก็ต้องใช้จ่ายมาก   บางครอบครัวก็ใช้จ่ายน้อย    อันนี้ขึ้นอยู่กับฐานะของแต่ละครอบครัว
อย่างไรเรียกว่า ประหยัด  อย่างไรเรียกว่า  ฟุ่มเฟือย  โบราณท่านกล่าวว่า  ถ้ามีเกินใช้ ได้เกินเสีย เป็นเศรษฐี   ถ้าเสียเกินได้ ใช้เกินมี เป็นยาจก หมายความว่า เรามีรายได้มาก แต่เรามีการใช้จ่ายน้อย ทรัพย์ที่หามาได้ก็เหลือ ถ้าเรามีรายได้น้อย แต่มีการใช้จ่ายมาก ทรัพย์ที่หามาได้ก็ไม่พอ ต้องกู้หนี้ยืมเขามาใช้จ่าย ก็กลายเป็นหนี้
       คนมีทรัพย์ย่อมได้รับความสุข ปรารถนาในปัจจัย ๔ ย่อมได้ การมีทรัพย์คือความมั่งคั่ง ความสมบูรณ์พูนสุขด้วยปัจจัย ๔ แต่ต้องรู้จักการใช้สอยทรัพย์สมบัตินั้น กล่าวคือการใช้จ่ายในทรัพย์สินเหล่านั้นให้เป็นประโยชน์ ถ้ามีทรัพย์ แต่ไม่รู้วิธีในการที่จะใช้จ่ายทรัพย์ให้เป็นประโยชน์ ก็หาความสุขไม่ได้ มีแต่ความเดือดร้อน กังวลใจในการรักษาทรัพย์สมบัติที่ไม่เป็นประโยชน์แก่ตนและผู้อื่น อีกทั้งไม่รู้วิธีการบริหารทรัพย์ให้เป็นประโยชน์ในทางที่ชอบ ทรัพย์สมบัตินอกจากไม่เพิ่มพูนขึ้นแล้ว ยังจะไม่เป็นประโยชน์ต่อคนอื่นๆ อีกด้วย  มีปัญหาว่าจะทำอย่างไร จึงจะมีทรัพย์เพื่อให้เกิดความสุข การที่จะทำให้มีทรัพย์และให้เกิดความสุขนั้น ก็ต้องทำในสิ่งที่ถูกที่ควร และทำในสิ่งที่ชอบทั้ง๔ ประการ ข้างต้น เมื่อทราบวิธีที่จะให้เกิดทรัพย์อันจะให้เกิดความสุขเป็นประโยชน์ในปัจจุบัน นับว่าไม่ขัดสนอับจนในชีวิต ย่อมทำชีวิตเป็นชีวิตที่ดี เป็นชีวิตที่ประเสริฐ เป็นชีวิตที่ไม่สูญเปล่า เป็นชีวิตที่มีความสุข
     นอกจากนี้ยังมีธรรมะที่ทำให้บุคคลถึงความสำเร็จในการกระทำๆ หรือการทำงานซึ่งนำไปสู่การมีทรัพย์   ที่เรียกว่า อิทธิบาท หรือ อิทธิบาท ๔ เป็นคุณธรรมที่นำไปสู่ความสำเร็จแห่งผลที่มุ่งหมาย มี ๔ ประการ คือ
         ๑. ฉันทะ (ความพอใจ) คือ ความต้องการที่จะทำ ใฝ่ใจรักจะทำสิ่งนั้นอยู่เสมอ และปรารถนาจะ
ทำให้ได้ผลดียิ่งๆขึ้นไป สำหรับผู้เป็นหัวหน้างานจำเป็นอย่างยิ่งต้องสร้างความพอใจแก่คนทำงาน ควรทำให้เขารู้ว่าทำแล้วจะเกิดผลอย่างไร ไม่ทำแล้วจะเกิดผลอย่างไร
         ๒. วิริยะ (ความเพียร) คือ ขยันหมั่นประกอบสิ่งนั้นด้วยความพยายาม เข้มแข็ง อดทน เอาธุระ
ไม่ท้อถอย  ตรงกันข้ามกับความเกียจคร้าน คนเกียจคร้านมักเป็นคนขลาด คนกลัว จะทำงานแต่ละครั้งจะต้องอ้าง การชนะความเกียจคร้านด้วยวิริยะ คือความเพียร ความกล้าแม้จะมีอุปสรรค
         ๓. จิตตะ (ความคิด) คือ ตั้งจิตรับรู้ในสิ่งที่ทำ และทำสิ่งนั้นด้วยความคิด เอาจิตฝักใฝ่ ไม่ปล่อย
ใจให้ฟุ้งซ่านเลื่อนลอยไป ไม่ควรปล่อยปละละเลยกับงานของตน ควรตรวจตรางานอยู่เสมอ
         ๔. วิมังสา  คือ ใช้ปัญญาในการทำงาน พิจารณาใคร่ครวญ ตรวจหาเหตุผล และตรวจสอบข้อ
ยิ่งหย่อนในสิ่งที่ทำนั้น มีการวางแผน วัดผล คิดค้นวิธีแก้ไขปรับปรุง เป็นต้น ต้องทำงานให้ถูกต้องตามกาล ไม่ทำก่อนหรือหลังเวลาอันควร และทำให้ถูกลักษณะของงาน
       ดังเห็นได้ว่าพระมหาชนกมีอิทธิบาท๔ ในการกระทำการงานต่างๆ จนพบความสำเร็จ ดังนั้นการที่ทุกคนจะเจริญก้าวหน้าได้ ความก้าวหน้าต้องมีเหตุปัจจัยไม่ได้เกิดขึ้นมาเอง    พระพุทธศาสนาไม่ได้สอนเรื่องโชคลาภหรือฤกษ์งามยามดี ไม่ได้สอนเรื่องการบวงสรวงอ้อนวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พระพุทธศาสนาสอนเรื่องกรรมคือการกระทำ ใครทำกรรมดีย่อมได้ดี/รับผลดี การกระทำจึงเป็นสิ่งสำคัญ พระพุทธศาสนาไม่สอนเรื่องกรรมเก่า สอนควรสร้างกรรมใหม่ให้ดี ความสำเร็จของชีวิตย่อมขึ้นอยู่กับปัจจัยดังกล่าวในอดีตและปัจจุบัน ตลอดจนสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง การกระทำอะไรและนำไปสู่การประสบความสำเร็จในชีวิต เรียกการกระทำให้ว่า “มงคลชีวิต” การทำเป็นมงคลชีวิตเรียกว่าการพัฒนาคุณภาพชีวิต  การพัฒนาชีวิตให้ประสบความสำเร็จตามที่ต้องการ คือ
        ๑. ด้านสิ่งแวดล้อมภายนอก ได้แก่ ไม่คบคนพาลเพื่อป้องกันตัวให้ไม่เป็นคนพาล คบบัณฑิต
เพื่อปรับตัวให้เป็นคนดีเฉลียวฉลาดเยี่ยงบัณฑิต บูชาคนควรบูชาเพื่อยกย่องคนดี และการอยู่ในถิ่นดีที่เหมาะสมย่อมมีโอกาสในการสร้างความดี
       ๒. สิ่งแวดล้อมภายในตนเอง ได้แก่ สั่งสมคุณความดีไว้เป็นทุนเดิม ย่อมกระตุ้นใจตนเองให้หมั่นสะสมบุญวาสนา ดำรงตนอยู่ในทางที่ดีที่ชอบ เป็นการป้องกันตนไม่ให้เดินผิดพลาด ศึกษาหาความรู้ในวิทยาการต่างๆเป็นคนคงแก่เรียนได้สดับฟังเกิดความแตกฉาน ฝึกฝนตนเอง  ให้มีความชำนาญในวิชาชีพ ช่วยให้เป็นคนมีความคิดสร้างสรรค์ หัดเป็นคนมีระเบียบวินัย ส่งเสริมให้เป็นคนเรียบร้อยและมีกิริยาวาจาสุภาพเรียบร้อย ทำให้เป็นคนมีวาจาสิทธิ์
        ๓. หน้าที่ทางครอบครัว ได้แก่ การบำรุงพ่อแม่ การสงเคราะห์ลูก การสงเคราะห์สามีหรือภรรยา เพื่อส่งเสริมให้มีสำนึกหวังตอบแทนที่ได้รับบำรุงมาก่อน และการงานไม่คั่งค้าง ชื่อว่าเป็นคนบรรลุถึงความสำเร็จ
        ๔. หน้าที่ทางสังคม ได้แก่ การแบ่งปัน ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ธรรมจริยาคือการปฏิบัติธรรมชื่อว่าเอาสาระของชีวิต และการงานไม่มีโทษชื่อว่าเกื้อกูลคนอื่น
      ๕.ศีลธรรมเป็นเครื่องชี้นำไปทางที่ควร อันจะเป็นเหตุให้ทำความชั่วไม่ได้โดยง่าย โดยจำแนกเป็น ศีลได้แก่ การงดเว้นจากบาปทั้งปวงการงดเว้นจากการเสพของมึนเมา คำว่าธรรมคือความไม่ประมาทในธรรมทั้งปวง ความเคารพผู้ที่ควรเคารพ ความถ่อมตัว ความสันโดษ และความกตัญญู เป็นต้น
       ๖. การพัฒนาชีวิตทางธรรม ได้แก่ บำเพ็ญตบะ คือลงมือปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังเพื่อเผาผลาญกิเลส ประพฤติพรหมจรรย์คือดำเนินชีวิตเป็นนักบวช เห็นอริยสัจคือพัฒนาปัญญาจนรู้แจ้งจริงในอริยสัจ ทำนิพพานให้แจ้งคือทำลายกิเลสได้หมด จนเป็นผู้บริสุทธิ์สิ้นเชิง
      ๗.การพัฒนาชีวิตถึงขั้นสุดยอด ได้แก่ จิตไม่หวั่นไหว จิตไม่มีความเศร้าโศก จิตปราศจากธุลีคือกิเลสทั้งปวง จิตเกษมคือเป็นอิสระจากพันธะทั้งปวง
       นอกจากนี้พบว่าคนที่มีความสำเร็จมักเป็นผู้ไม่ประมาทที่มีความคิดพิจารณาใคร่ครวญ รอบครอบ รู้ว่าตนเองต้องการอะไร ควรทำอย่างไร ตนเองกระทำอะไรอยู่ ทำแล้วจะเกิดผลอย่างไร  ความไม่ประมาทนี้ แบ่งได้เป็น ๔ ประการคือ
        ๑. การระมัดระวังที่จะไม่ประพฤติผิดทางกาย ได้แก่ ไม่ฆ่าสัตว์  ไม่ลักทรัพย์ และไม่ประพฤติผิดในกาม
        ๒. การระมัดระวังที่จะไม่ประพฤติผิดทางคำพูด ได้แก่ ไม่พูดเท็จ ไม่ส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบและไม่พูดเพ้อเจ้อ
        ๓. การระมัดระวังที่จะไม่ประพฤติผิดด้วยใจคิด  ได้แก่ ไม่โลภอยากได้ของเขา    ไม่พยาบาทปองร้าย  และเห็นชอบตามคลองธรรม
        ๔. ไม่ประมาทในความชั่ว คือ มองเห็นว่าเป็นสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่สำคัญแล้ว กระทำลงไป เพราะสิ่งเล็กน้อยอาจเป็นชนวนให้เกิดเรื่องใหญ่ได้ เช่น การพูดล้อเล่นก่อให้เกิดการทะเลาะวิวาท เป็นต้น
อานิสงส์การไม่ประมาท
        ขั้นสูงสุดสามารถบรรลุธรรมได้ พระอรหันต์เป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว นอกจากนี้ยัง เป็นมหากุศล   เป็นคนไม่ตาย   ป้องกันทางไปสู่อบายภูมิ   คลายจากความทุกข์ต่างๆได้   ทำให้ปฏิบัติตนอยู่ในธรรม  เป็นการสร้างบุญกุศลและเกิดบุญกุศลแก้ผู้ปฏิบัติ  ทำให้เกิดความสุข   ปลุกตนให้ตื่น   ชื่นชมเบิกบาน และเผาผลาญความชั่ว

การฝึกตนเป็นผู้ไม่ประมาทนั้น พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ๔ ประการ คือ
        ๑. ไม่ประมาทในกาย ละกายทุจริต  ให้ประพฤติ   กายสุจริต ได้แก่ ไม่ฆ่าสัตว์  ไม่ลักทรัพย์ และไม่ประพฤติผิดในกาม
       ๒. ไม่ประมาทในวาจา ละวจีทุจริต  ให้ประพฤติ   วจีสุจริต ได้แก่ ไม่พูดเท็จ ไม่ส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบและไม่พูดเพ้อเจ้อ
       ๓. ไม่ประมาทในใจ ละมโนทุจริต  ให้ประพฤติ    มโนสุจริต ได้แก่ ไม่โลภอยากได้ของเขา    ไม่พยาบาทปองร้าย  และเห็นชอบตามคลองธรรม 
        ๔. ไม่ประมาทในการละเห็นความผิด  ให้มีสัมมาทิฏฐิ  ทำความเห็นให้ถูก
     ผู้ที่ประพฤติตนด้วยความไม่ประมาทจะพาไปสู่ความสำเร็จ นำความเจริญมาสู่ตัวเราเพราะ ผู้ไม่ประมาทย่อมมีสติสัมปชัญญะ ระลึกได้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ มีความรู้สึกตัวอยู่เสมอ จึงกระทำด้วยความระมัดระวัง ปฏิบัติหน้าที่จนบรรลุเป้าหมายโดยปราศจากความเดือดร้อนแก่ตนเองและผู้อื่น
 สิ่งที่ไม่ควรประมาทนี้ มี ๕ ประการคือ
       ๑.ไม่ประมาทในเวลา มีสติเตือนตนอยู่เสมอว่า “วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่” อย่ามัวเมาทำในสิ่งไร้สาระ เช่น เล่นไพ่ คุยโม้ ดูแฟชั่น ให้เร่งรีบทำงานให้เต็มที่แข่งกับเวลา เพราะเวลามีน้อย เมื่อกินชีวิตไปแล้วก็เรียกกลับคืนไม่ได้
      ๒.ไม่ประมาทในวัย มีสติเตือนตนอยู่เสมอว่า อย่าคิดว่าตัวยังเป็นเด็กอยู่ จึงเที่ยวเล่นเพลิดเพลินไปวันๆ หนึ่ง เพราะถ้านับอายุตั้งแต่ชาติแรกๆ จนถึงบัดนี้ แต่ละคนต่างมีอายุคนละหลายกัปแล้ว
      ๓.ไม่ประมาทในความไม่มีโรค มีสติเตือนตนอยู่เสมอว่า อย่าคิดว่าเราจะแข็งแรงอยู่อย่างนี้ตลอดไป ถ้ากรรมชั่วในอดีตตามมาทันอาจป่วยเป็นโรค ไม่สบายเมื่อไรก็ได้ เพราะฉะนั้นในขณะที่สุขภาพยังดีต้องรีบขวนขวายสร้างความดีให้เต็มที่
      ๔.ไม่ประมาทในชีวิต มีสติเตือนตนอยู่เสมอว่า อย่าคิดว่าเรายังมีชีวิตอยู่ สุขสบายดี เราจะยังมีชีวิตอยู่อีกนาน เพราะจริงๆ แล้วเราอาจจะตายเมื่อไรก็ได้ มัจจุราชไม่มีเครื่องหมายนำหน้า จึงเร่งรีบขวนขวายในการละความชั่ว สร้างความดีและทำจิตใจให้ผ่องใสอย่างเต็มที่ ทุกรูปแบบ ทุกโอกาส
     ๕.ไม่ประมาทในการงาน มีสติเตือนตนอยู่เสมอว่า จะทำงานทุกอย่างที่มาถึงมือให้ดีที่สุด ทำอย่างทุ่มเทไม่ออมมือ ทำงานไม่ให้คั่งค้าง ไม่ท้อถอย ไม่ผัดวันประกันพรุ่ง
      ๖.ไม่ประมาทในการศึกษา มีสติเตือนตนอยู่เสมอว่าจะขวนขวายหาความรู้อย่างเต็มที่ อะไรที่ควรอ่านควรท่องก็จะรีบอ่านรีบท่องโดยไม่แชเชือน ตระหนักถึงคุณค่า และความสำคัญของการศึกษาหาความรู้ซึ่งจะเป็นกุญแจไขปัญหาชีวิตทุกๆ อย่าง
      ๗.ไม่ประมาทในการปฏิบัติธรรม มีสติเตือนตนอยู่เสมอว่า จะปฏิบัติธรรมอย่างสม่ำเสมอไม่ย่อท้อโดยเริ่มตั้งแต่บัดนี้ ไม่ใช่รอจนแก่ค่อยเข้าวัด จะฟังเทศน์ก็หูตึงฟังไม่ถนัด จะนั่งสมาธิก็ปวดเมื่อยขัดยอกไปหมด ลุกก็โอย นั่งก็โอย เมื่อระลึกได้เช่นนี้ จึงมีความเพียรใส่ใจในการปฏิบัติธรรมเพราะทราบดีว่า การปฏิบัติธรรมนั้น ทำให้เกิดความสุขแก่ตนทั้งโลกนี้และโลกหน้า และเป็นวิธีการเดียวที่ทำให้เราสามารถบรรลุเป้าหมายอันสูงสุดแห่งชีวิต คือ พระนิพพาน  
        ความไม่ประมาทมีความสำคัญมาก  พระพุทธเจ้า ได้ตรัสในพระไตรปิฎก สังยุตตนิกายเล่ม ๑๕ หน้า ๑๒๒ ว่า  “บุคคลผู้ปรารถนาอยู่ซึ่งอายุ ความไม่มีโรค วรรณะ สวรรค์ ความเกิดในตระกูลสูง และความยินดีอันโอฬารต่อ ๆ ไป พึงบำเพ็ญความไม่ประมาท  บัณฑิตทั้งหลายย่อมสรรเสริญ ความไม่ประมาทในบุญกิริยาทั้งหลาย บัณฑิตผู้ไม่ประมาท ย่อมยึดไว้ได้ซึ่งประโยชน์ทั้ง ๒ คือ ประโยชน์ภพนี้ และประโยชน์ภพหน้า เพราะยึดไว้ได้ซึ่งประโยชน์ ผู้มีปัญญาจึงได้นามว่า “บัณฑิต”ฯ”  แม้กระทั่งก่อนที่พระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พระพุทธองค์ก็ได้ตรัสเป็นปัจฉิมวาจา “เราขอเตือนพวกเธอว่า สังขารทั้งหลายมีความสิ้นไปเสื่อมไป เป็นธรรมดาพวกเธอจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด”    เมื่อเป็นผู้ไม่ประมาทก็มักประสบความสำเร็จ
      คนที่ต้องการมีทรัพย์แต่ไม่ปฏิบัติ/กระทำการใดๆ ในส่วนดีก็ไม่ต้องเหนื่อยแต่ทำให้ไม่มีทรัพย์ดั่งตนเองเองหวัง คนไม่พบความสำเร็จหรือไม่มีทรัพย์นั้น  มักคิดไว้อย่างหนึ่งอย่างใดแล้ว แต่กลับไม่ทำ หรือไม่ทำอย่างที่คิด กลับไปทำสิ่งอื่น ที่ไม่ได้คิดไว้ล่วงหน้า บางครั้งผลของการกระทำ ก็ไม่ได้เป็นไปดังใจที่คิดว่า เพราะเหตุปัจจัยในการกระทำนั้น ผิดกับเรื่องที่ตนคิดไว้ เช่น การอ้อนวอนร้องขอจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตนเองนับถือ โดยปราศจากการกระทำ เพียงแต่ขอสิ่งที่ตนเองปรารถนา สิ่งที่ตนปรารถนานั้น คงไม่สำเร็จตามความประสงค์แน่แท้ เพระผิดหลักของเหตุผลที่พึงจะมีได้ เพราะพระพุทธศาสนานั้น สอนเรื่องของเหตุผล ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว สร้างเหตุดี ย่อมได้ผลดี สร้างเหตุชั่ว ได้ผลชั่ว ปลูกมะม่วง ย่อมได้มะม่วง จะได้ผลไม้อย่างอื่นเป็นผลที่ไม่พึงมิได้ คำว่าความบังเอิญในคำสอนทางพระพุทธศาสนานั้นไม่มีเลย ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากเหตุ คำว่าเหตุนั้น มีทั้งเหตุใกล้ และเหตุไกล ต้องสาวให้ถึงที่สุด  นอกจากนี้อุปสรรคที่ทำให้การงานไม่สำเร็จ /เสียทรัพย์/ไม่มีทรัพย์  คือ อบายมุข ๖ ได้แก่ ๑.การดื่มน้ำเมา  ๒.เที่ยวกลางคืน  ๓.การดูการละเล่นเป็นนิจ  ๔.เล่นการพนัน  ๕.คบคนชั่วเป็นมิตรและ๖.เกียจคร้านในการทำงาน  ซึ่งอบายมุขเป็นทางแห่งความเสื่อม ความพินาศของโภคทรัพย์  ได้แก่ ความเสื่อมจากกุศลกรรม และเสื่อมทางปัญญา  เช่น  ๑.การดื่มน้ำเมาทำให้เสียทรัพย์ มีผลเสียคือ ก่อการทะเลาะวิวาท  เป็นบ่อเกิดของโรค  เป็นเหตุให้เสื่อมเสียชื่อเสียง  เป็นเหตุให้รู้จักไม่ละอาย ทอนปัญญาและทำให้เกิดอุบัติเหตุจนถึงขั้นเสียชีวิต  ๒. การเที่ยวกลางคืน มีผลเสียคือ  ทำให้เกิดโรคต่างๆ  ทำให้ครอบครัวเดือดร้อนขาดความอบอุ่น   สิ้นเปลืองเงินทอง  มักถูกใส่ความว่าเป็นคนร้ายหรือร่วมมือกับคนร้าย  ไม่มีใครไว้วางใจและได้รับความลำบาก  ๓.การดูการละเล่นเป็นนิจ ก่อให้เกิดผลเสียคือการงานเสื่อมเสียเพราะใจกังวลคอยคิดจ้อง กับเสียเวลาเมื่อไปดูสิ่งนั้นๆ  ๔. ติดการพนัน  มีผลเสียคือ  เมื่อชนะย่อมก่อเวร   เมื่อแพ้ก็เสียดายทรัพย์ที่เสียไป   ทรัพย์หมดไป   ถ้อยคำไม่น่าเชื่อถือ   เป็นที่หมิ่นประมาทของเพื่อนฝูง และไม่เป็นที่พึงประสงค์ของผู้ที่จะหาคู่ครองให้ลูก เพราะเห็นว่าจะเลี้ยงลูกเมียไม่ไหว   ๕. คบคนชั่วเป็นมิตร คบใครมักเป็นอย่างนั้น  ผลเสียเป็น นักการพนัน   นักเลงหญิง  นักเลงเหล้า นักลวงของปลอม  นักหลอกลวงและนักเลงหัวไม้   ๖. เกียจคร้านการงาน  มีผลเสียคือ เป็นข้ออ้างผัดเพี้ยนไม่ทำการงาน โภคะใหม่ก็ไม่เกิด โภคะที่มีอยู่ก็หมดสิ้นไป  
   จะเห็นได้ว่าคนไม่พบความสำเร็จ/ไม่มีทรัพย์นั้นมักขาดความรอบครอบ ไม่พิจารณาใคร่ครวญอย่างเหตุผล ละเลยไม่กระทำหรือทำไม่ถูกต้องเหมาะสมถือว่าเป็นผู้ประมาทอยู่    ผู้ที่มีความประมาท จะมีลักษณะชะล่าใจ ขาดความระมัดระวัง  ทำการมักง่าย ขาดความรอบคอบ ทะนงตัว ไม่ทำความดีติดต่อกัน จึงมักกล่าวกันว่า “ความประมาทคือหนทางแห่งความตาย”  ความประมาทแสดงออกได้ทาง กาย วาจา ใจ   ชนเหล่าใดประมาทแล้ว ย่อมเป็นเหมือนคนตายแล้ว ชื่อว่าเป็นความ "ประมาท" ส่งผลให้การกระทำนั้นเกิดความเสียหาย หรือไม่เกิดผลดีต่อการงาน เกิดความเสียหายต่อตนเองและบุคคลอื่น ถ้าร้ายแรงมากอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อสังคม ประเทศชาติหรือสังคมโลก มีผลต่อชาติต่อไปอาจเกิดในอบายภูมิได้
      จากพุทธพจน์  ให้กำจัดความประมาท ด้วยความไม่ประมาท   “เมื่อนั้นเขานับว่าได้ขึ้นสู่ปราสาท คือ มีปัญญา ไร้ความเศร้าโศก สามารถมองเห็นประชาชนผู้โง่เขลา ผู้ยังต้องเศร้าโศกอยู่ เสมือนคนยืนอยู่บนยอดเขา มองลงมาเห็นฝูงชน ที่ยืนอยู่บนพื้นดินฉะนั้น” วิธีการกำจัดความประมาทด้วยการทำความไม่ประมาท ไม่ยุ่งเกี่ยวกับอบายมุข  ทำงานด้วยหลักอิทธิบาท๔  และปฏิบัติตามมงคลชีวิตดังข้อความข้างต้น
      ดังนั้นหากคนเราต้องการประสบความสำเร็จนั้น ไม่ว่าเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ต้องลงมือเปลี่ยนความคิดให้เป็นการกระทำ ให้เป็นผลงานออกมาให้ได้ ขณะมีความคิดดีๆเกิดขึ้น รีบลงมือกระทำเพราะความคิดนั้นอาจสูญหายไป อย่าผัดวันประกันพรุ่ง จะเห็นได้ในอดีตซึ่งบรรพบุรุษได้มีความคิดและสร้างสรรค์ผลงานและมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องกลายเป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัยในวันนี้ เพราะเขาไม่ได้เป็นนักคิดอย่างเดียวเป็นนักกระทำ หากคนเรามีความคิดดีๆอย่างน้อยมาถูกทางหากให้ถึงความสำเร็จได้ต้องกระทำเสียแต่วันนี้ ถ้าทำแล้วเกิดปัญหาอุปสรรคให้เข้าใจว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา จงอดทนและก้าวไปให้ได้ ต้องลงมือกระทำจึงพบความสำเร็จ แม้มีอุปสรรคบ้างหากไม่หยุด ไม่ท้อแท้ ไม่หมดหวัง ไม่หยุดทำ และพัฒนาต่อเนื่องจะพบความสำเร็จได้  เส้นทางชีวิตบางครั้งพบความสำเร็จหรือล้มเหลวนั้นบางครั้งมาจากโอกาสอื่นด้วย เช่น จังหวะ โอกาส หรือความเหมาะพอดี แต่อีกส่วนหนึ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญจากวิธีคิดนั้นวิธีต่างกันก็จะนำมาซึ่งการกระทำที่ต่างกันด้วย  คนไม่ทำเพราะเขาคิดว่าทำไม่ได้ ไม่อยากทำ คิดแล้วทำไม่ได้ตามที่ต้องการก็เลิกทำก็ไม่สำเร็จ บางคนคิดต่าง เมื่อคิดจะทำแล้วอาจทำยังไม่ได้ก็ไม่ย่อท้อ ยังพยายามหาวิธีการต่างๆและทำจนสำเร็จ คนที่ประสบความสำเร็จต้องแลกด้วยหยาดเหงื่อแรงงานทั้งทางกายและใจ อาจต้องเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนวิธีทำ ลองผิดลองถูกจนประสบความสำเร็จ หากคนเราต้องการความสำเร็จ/มีทรัพย์ไม่ใช้เพราะเขาเก่ง แต่เขาคิด เขากระทำ เขาพยายามจนสุดกำลัง แม้ทำไม่ได้ก็ไม่หยุดคิดไม่หยุดกระทำก็พบความสำเร็จ หากคิดแล้วไม่ทำ/ทำไม่ได้ เพราะไม่มีวิธีทำ ไม่รู้วิธีทำก็ต้องหาความรู้จากคนที่ทำได้มาประยุกต์ใช้ เชื่อว่าทุกคนพัฒนาตนเองได้มากพบความสำเร็จมากกว่าความล้มเหลวอย่างแน่นอน
แหล่งอ้างอิง
https://m.facebook.com/notes/%E0%B8%A0%E0%B8%9E%E0%B8%A0%E0%B8%B9%E0%B8%A1%E0%B8%B4-%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A2/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%97/365418913491418/
http://www.sainampeung.ac.th/chalengsak/units/unit1/chapter%205/buddha_supasit/pramat.html
https://www.facebook.com/ReadForVision/posts/683678374976823
http://www.stou.ac.th/study/sumrit/9-56(500)/page5-9-56(500).html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น