วันเสาร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2557

พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร

พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร                                                                        
       การตรัสรู้เป็นปรากฏการณ์ที่ทำให้เห็นถึงพุทธจริยาในการค้นพบสัจธรรม คือความจริงของสรรพสิ่งในโลก ที่ทำให้พระสัมมาพุทธเจ้าเป็นผู้บริสุทธิ์หมดจดจากกิเลสเครื่องเศร้าหมอง การตรัสรู้ของพระองค์นับว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ที่มีต่อชาวโลก  จนทำให้ผู้คนได้มีคุณธรรมความดีเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจมาได้จนทุกวันนี้ ซึ่งพระพุทธองค์ตรัสว่าสภาพธรรม เป็นของมีอยู่แล้วไม่ว่าจะมีพระพุทธเจ้า เกิดขึ้นหรือไม่ พระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ตรัสรู้สภาพธรรมนั้น ๆ แล้วนำมาบอกเล่าให้เข้าใจชัดขึ้นความจริงหรือสัจธรรมที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาตินี้ จึงเป็นของกลางสำหรับทุกคน และมิใช่สิ่งที่ประดิษฐ์หรือคิดขึ้นตามอารมณ์เพ้อฝัน พระพุทธเจ้าตรัสว่า ตราบใดที่พระองค์ยังมิได้ตรัสรู้ความจริงในลักษณะ ๓ อย่าง คือ รู้ตัวความจริง รู้หน้าที่อันควรทำเกี่ยวกับความจริงนั้น และรู้ว่าได้ทำหน้าที่สำเร็จบริบูรณ์แล้ว   ตราบนั้นพระองค์ก็ยังไม่อาจกล่าวได้ว่าตรัสรู้แล้ว  ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความจริงนั้นพระองค์ได้ทรงลงมือปฏิบัติจนค้นพบประจักษ์แล้ว พระองค์จึงได้นำมาสั่งสอน พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ธรรมดังนี้
  ๑. คุณและโทษของอุปาทาน(ความยึดมั่นถือ)ขันธ์๕และการสลัดออกจากอุปาทานขันธ์ ดังข้อความในพระไตรปิฎกดังนี้  “เมื่อใดเรารู้ยิ่งซึ่งคุณโดยความเป็นคุณ  ซึ่งโทษโดยความเป็นโทษ  ซึ่งเครื่องสลัดออกโดยความเป็นเครื่องสลัดออก  แห่งอุปาทานขันธ์  ๕  เหล่านี้  ตามความเป็นจริงอย่างนี้.  เมื่อนั้น  เราจึงปฏิญาณว่า  เป็นผู้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในโลก  พร้อมทั้งเทวโลก  มารโลก  พรหมโลก  ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์  เทวดาและมนุษย์.ก็แลญาณทัสสนะได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราว่า วิมุติของเราไม่กำเริบ ชาตินี้เป็นที่สุด บัดนี้ภพใหม่ไม่มี.”   “ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อใด สัตว์ทั้งหลาย รู้ยิ่งซึ่งคุณโดยความเป็นคุณ ซึ่งโทษโดยความเป็นโทษ ซึ่งเครื่องสลัดออกโดยความเป็นเครื่องสลัดออกแห่งอุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ ตามความเป็นจริง เมื่อนั้น สัตว์ทั้งหลายจึงเป็นผู้ออกไป พรากไปหลุดพ้นไป มีใจอันหาขอบเขตมิได้อยู่ในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์.”  (สํ. ขันธ. ๒๗/๖๐/๖๓).
   ๒ ได้กล่าวถึงอุปาทานขันธ์๕  การทำให้ดับไปซึ่งอุปาทานขันธ์๕   โดยรู้แจ้งใน ๔ ขั้นตอน ในองค์ประกอบขันธ์๕( รูป เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณ)  คือ เรารู้ยิ่งซึ่งรูป ความเกิดแห่งรูป ความดับแห่งรูป ปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งรูป รู้ยิ่งซึ่งเวทนา ฯลฯ รู้ยิ่งซึ่งสัญญา ฯลฯ รู้ยิ่งซึ่งสังขาร ฯลฯ รู้ยิ่งซึ่งวิญญาณฯลฯ ตามความเป็นจริง เบื่อหน่าย คลายความกำหนัดและดับความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์๕ได้   ดังข้อความในพระไตรปิฎกดังนี้  “พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า อุปาทานขันธ์ ๕ คือ อุปาทานขันธ์คือรูป   อุปาทานขันธ์คือ เวทนา อุปาทานขันธ์คือสัญญา อุปาทานขันธ์คือสังขาร อุปาทานขันธ์คือวิญญาณ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อใดแล เรารู้ยิ่งซึ่งอุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ โดยเวียนรอบ ๔ คือ เรารู้ยิ่งซึ่งรูป ความเกิดแห่งรูป ความดับแห่งรูป ปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งรูป  รู้ยิ่งซึ่งเวทนา ฯลฯ รู้ยิ่งซึ่งสัญญา ฯลฯ รู้ยิ่งซึ่งสังขาร ฯลฯ รู้ยิ่งซึ่งวิญญาณ ความเกิดแห่งวิญญาณ ความดับแห่งวิญญาณ ปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งวิญญาณ.ตามความเป็นจริง เมื่อนั้น เราจึงปฏิญาณว่า เป็นผู้ตรัสรู้ชอบยิ่งซึ่งสัมมาสัมโพธิญาณ อย่างยอดเยี่ยม ในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์.”  “ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า หลุดพ้นเพราะเบื่อหน่าย เพราะคลายกำหนัดเพราะดับ เพราะไม่ถือมั่นรูป ... เวทนา ... สัญญา ... สังขาร ... วิญญาณ เทวดาและมนุษย์ต่างพากัน เรียกว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า.  (สํ. ขันธ. ๒๗/๑๑๒/๑๒๕)  จากข้อความข้างต้นคุณและโทษของอุปาทาน(ความยึดมั่นถือ)ขันธ์๕และการสลัดออกจากอุปาทานขันธ์หรือการดับไปซึ่งอุปาทาน   ซึ่งขันธ์ หมายถึง กอง, หมวด, หมู่, ส่วน ในทางพุทธศาสนาหมายถึงร่างกาย ของมนุษย์ คือแยกร่างกาย ออกเป็นส่วนๆ ตามสภาพได้ ๕ ส่วน หรือ ๕ ขันธ์ คือ ๑. รูป คือส่วนประกอบฝ่ายรูปธรรมทั้งหมด ร่างกายและพฤติกรรมทั้งหมดของร่างกาย ได้แก่ ส่วนที่ผสมกันของธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ เช่น ผม หนัง กระดูก โลหิต  ๒.เวทนา ได้แก่ ระบบประมวล ความรู้สึกว่า ชอบหรือไม่ชอบ และเฉยๆ ๓.สัญญา ได้แก่ ความกำหนดได้หมายรู้ หรือการจำสิ่งที่ได้รับและรู้สึกนั้นๆ ๔. สังขาร ได้แก่ เป็นองค์ประกอบหรือคุณสมบัติของจิตมีเจตนาเป็นตัวนำ ซึ่งแต่งให้จิตดี ชั่ว เป็นกลางๆ เป็นระบบคิดปรุงแต่ง แยกแยะสิ่งที่รับรู้สึกและจำได้นั้นๆ ๕.วิญญาณ ได้แก่ การรู้แจ้งอารมณ์ประสาททั้ง ๕ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กายและทางใจคือ การเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การรู้รส การรู้สัมผัสกายและการรู้อารมณ์ทางใจ   จะเห็นได้ว่าชีวิตหรือตัวตนเกิดมาจากขันธ์ทั้ง ๕  เป็นเหตุเป็นปัจจัยแก่กันและกัน  กล่าวคือ ขันธ์ทั้ง๕มาประชุมรวมกัน อย่างพึ่งพาอาศัย เป็นปัจจัยกันและกันเป็นตัวตนหรือชีวิตขึ้น  กล่าวคือยังต้องทํางานประสานกัน เป็นเหตุปัจจัยแก่กันและกันไปในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่     ขันธ์ ๕ เองนั้นไม่ได้เป็นตัวก่อโทษก่อทุกข์ใดๆอีกทั้งยังเป็นสิ่งจําเป็นยิ่งในการดํารงชีวิต แต่ถ้าประกอบด้วยอุปาทานร่วมด้วยแล้ว   ก็จักทําให้ขันธ์ ๕ ที่เกิดขึ้นเพื่อการดํารงชีวิตนั้นถูกครอบงําด้วยอุปาทานที่มีกิเลสและตัณหาเป็นเหตุปัจจัยให้เกิด   ซึ่งก็คือขันธ์ ๕  นั้นจะได้ถูกครอบงําแปรปรวน  แฝงหรือประกอบด้วยอุปาทานอันก่อให้เกิดทุกข์อุปาทานหรืออุปาทานขันธ์๕ ที่เกิดแล้วดับ เกิดแล้วดับๆๆๆ...อยู่ในชราในวงจรปฏิจจสมุปบาท   ในการทำให้ดับไปซึ่งอุปาทานขันธ์๕ โดยการรู้แจ้งใน ๔ ขั้นตอน ในองค์ประกอบขันธ์๕( รูป เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณ)คือ รู้แจ้งในขันธ์๕  ความเกิดของขันธ์๕ ความดับของขันธ์๕และปฏิปทาหรือหนทางอันให้ถึงความดับของขันธ์๕ ดังนั้นการดับอุปาทานขันธ์เปรียบเสมือนการดับความทุกข์
           ๓. การทำให้ถึงการทำที่สุดของโลก(ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บและไม่ตาย) คือทำที่สุดแห่งทุกข์ ในที่นี้บัญญัติเรียกว่าโลก(ทุกข์)  เหตุให้เกิดโลก(ทุกข์)  การดับของโลก(ทุกข์)  ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งโลก(ทุกข์)  ในร่างกายของมนุษย์มีประมาณวาหนึ่ง ที่มีสัญญา และ มีใจครอง  ดังข้อความในพระไตรปิฎกว่า  “พ. ดูกรอาวุโส ที่ใดเป็นที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตาย ไม่จุติ ไม่อุปบัติ เราไม่พูดถึงที่นั้นอันเป็นที่สุดของโลก ว่าควรรู้ ควรเห็น ควรบรรลุ ด้วยการเดินทาง ก็ถ้าหากเรายังไม่บรรลุถึงที่สุดของโลกแล้ว ก็จะไม่กล่าวถึงการกระทำที่สุดของทุกข์ ก็แต่ว่าเราบัญญัติเรียกว่าโลก เหตุให้เกิดโลก การดับของโลก และทางให้ถึงความดับโลก ในสรีระร่าง มีประมาณวาหนึ่งนี้ และพร้อมทั้งสัญญา พร้อมทั้งใจครอง ฯแต่ไหนแต่ไรมา ยังไม่มีใครบรรลุถึงที่สุดโลกด้วยการเดินทาง และเพราะที่ยังบรรลุถึงที่สุดโลกไม่ได้
จึงไม่พ้นไปจากทุกข์ ฯเหตุนั้นแหละ คนมีปัญญาดี ตระหนักชัดเรื่องโลก ถึงที่สุดโลกได้อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว รู้จักที่สุดโลกแล้ว เป็นผู้ระงับแล้ว จึงไม่หวังโลกนี้และโลกหน้า ฯ” (สํ. สคา. ๒๔/๒๙๘/๒๙๔)
           ๔.  พุทธเจ้าทั้งหมดนั้น ตรัสรู้  ซึ่งอริยสัจสี่ตามความเป็นจริง ดังข้อความในพระไตรปิฎก “พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่าใดเหล่าหนึ่ง  ในอดีตกาล....  ในอนาคตกาล...  ในปัจจุบัน  ตรัสรู้ตามความเป็นจริง.  พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมดนั้น  ตรัสรู้ ซึ่งอริยสัจสี่ตามความเป็นจริง.”        (สํ. มหา. ๓๑/๑๗๐๔/๔๔๑)  “เพราะได้ตรัสรู้อริยสัจสี่แลตามความเป็นจริง  ตถาคต  จึงได้ชื่อว่าเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า.” (สํ. มหา. ๓๑/๑๗๐๓/๔๔๑) จากข้อ๓และ๔  พระพุทธเจ้าตรัสรู้เรื่อง อริยสัจ๔ ซึ่งหมายถึง สัจจะที่พระอริยะตรัสรู้  มี ๔ ประการ คือ ๑.ทุกข์หมายถึง ความทุกข์ หรือสภาพที่ทนอยู่ยาก ได้แก่ ปัญหาต่างๆของมนุษย์  ๒.สมุทัย คือเหตุเกิดแห่งทุกข์ ได้แก่ ความอยากที่ยึดถือตัวตนเป็นที่ตั้ง  ๓. นิโรทหมายถึง ความดับทุกข์ ได้แก่ ภาวะที่เข้าถึงเมื่อกำจัดอวิชชา สำรอกตัณหาสิ้นแล้ว เป็นต้น และ๔. มรรค คือข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์  ได้แก่  อริยมรรค๘  คือ สัมมาทิฎฐิ (ความเห็นชอบ)   สัมมาสังกัปปะ(ดำริชอบ)   สัมมาวาจา(วาจาชอบ)  สัมมากัมมันตะ(กระทำชอบ)   สัมมาอาชีวะ(เลี้ยงชีพชอบ) สัมมาวายามะ(พยายามชอบ) สัมมาสติ
(ระลึกชอบ)และสัมมาสมาธิ(จิตมั่นชอบ) สรุปได้ว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้อริยสัจ๔ เป็นเรื่องของการดับทุกข์ 
         ๕.  พระตถาคตตรัสรู้ว่าธาตุคือความตั้งอยู่ตามธรรมดา  ซึ่งโดยธรรมดาของธรรมชาติคือสังขารไม่เที่ยง  เป็นทุกข์  ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา  แล้วนำมาบอก  แสดง  บัญญัติ ตั้งไว้  เปิดเผย  จำแนกและทำให้ให้เข้าใจง่าย  ดังข้อความในพระไตรปิฎกว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะตถาคตอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่อุบัติขึ้นก็ตาม ธาตุนั้น คือ ความตั้งอยู่ตามธรรมดา ความเป็นไปตามธรรมดาก็คงตั้งอยู่อย่างนั้นเอง ตถาคตตรัสรู้ บรรลุธาตุนั้นว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง ครั้นแล้วจึงบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้เข้าใจง่ายว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะตถาคตอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่อุบัติขึ้นก็ตาม ธาตุนั้น คือ ความตั้งอยู่ตามธรรมดา ความเป็นไปตามธรรมดา ก็คงตั้งอยู่อย่างนั้นเอง ตถาคตตรัสรู้ บรรลุธาตุนั้นว่า สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ครั้นรู้แล้วจึงบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้งเปิดเผย จำแนก ทำให้เข้าใจง่ายว่า สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะตถาคตอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่อุบัติขึ้นก็ตามธาตุนั้น คือ ความตั้งอยู่ตามธรรมดา ความเป็นไปตามธรรมดา ก็คงตั้งอยู่อย่างนั้นเอง ตถาคตตรัสรู้ บรรลุธาตุนั้นว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ครั้นแล้ว จึงบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้เข้าใจง่ายว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ฯ” (อํ. ติก. ๓๑/๕๗๖/๕๙๗)    จากข้อมูลข้างได้กล่าวถึง กฎธรรมชาติ หรือไตรลักษณ์ ไม่เที่ยง(อนิจจัง) เป็นทุกข์(ทุกขัง)และอนัตตา เมื่อเข้าใจกฎธรรมชาติของสิ่งต่างๆอย่างถ่องแท้จะถอดถอนกิเลส ตัณหาจากอุปาทานขันธ์๕  ทำให้พ้นทุกข์
        ๖. ความเป็นเหตุเป็นผลและความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันจนเป็นผลให้เกิดทุกข์และการแสดงเหตุที่ทำให้ทุกข์นั้นดับลงไป ดังข้อความในพระไตรปิฎก “ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อเรายังเป็นพระโพธิสัตว์ ก่อนตรัสรู้ยังมิได้ตรัสรู้ ได้มีความปริวิตกดังนี้ว่า โลกนี้ถึงความยากแล้วหนอ ย่อมเกิด แก่ตาย จุติ และอุปบัติ และเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ยังไม่รู้ธรรมอันออกจากทุกข์ คือชราและมรณะนี้ เมื่อไรเล่า ความออกจากทุกข์ คือชราและมรณะนี้จักปรากฏ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรานั้นได้มีความปริวิตกดังนี้ว่า เมื่ออะไรหนอมีอยู่ ชราและมรณะจึงมี ชราและมรณะย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรานั้นเพราะกระทำไว้ในใจโดยแยบคาย จึงได้รู้ด้วยปัญญาว่า เมื่อชาติมีอยู่ ชราและมรณะ จึงมี ชราและมรณะย่อมมีเพราะชาติเป็นปัจจัย ... เมื่ออะไรหนอมีอยู่ ชาติจึงมี ชาติย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่อภพมีอยู่ ชาติจึงมี ชาติย่อมมีเพราะภพเป็นปัจจัย ... เมื่ออะไรหนอมีอยู่ ภพจึงมี ภพย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ...เมื่ออุปาทานมีอยู่ ภพจึงมี ภพย่อมมีเพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ... เมื่ออะไรหนอมีอยู่ อุปาทานจึงมี อุปาทานย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่อตัณหามีอยู่ อุปาทานจึงมี อุปาทานย่อมมีเพราะตัณหาเป็นปัจจัย ... เมื่ออะไรหนอมีอยู่ ตัณหาจึงมี ตัณหาย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่อเวทนามีอยู่ ตัณหาจึงมี ตัณหาย่อมมีเพราะเวทนาเป็นปัจจัย ... เมื่ออะไรหนอมีอยู่ เวทนาจึงมี เวทนาย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่อผัสสะมีอยู่ เวทนาจึงมี เวทนาย่อมมีเพราะผัสสะเป็นปัจจัย ...เมื่ออะไรหนอมีอยู่ ผัสสะจึงมี ผัสสะย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่อสฬายตนะมีอยู่ ผัสสะจึงมี ผัสสะย่อมมีเพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย ... เมื่ออะไรหนอมีอยู่ สฬายตนะจึงมี สฬายตนะมีย่อมเพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่อนามรูปมีอยู่ สฬายตนะจึงมี สฬายตนะย่อมมีเพราะนามรูปเป็นปัจจัย ... เมื่ออะไรหนอมีอยู่ นามรูปจึงมี นามรูปย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่อวิญญาณมีอยู่ นามรูปจึงมี นามรูปย่อมมีเพราะวิญญาณเป็นปัจจัย ... เมื่ออะไรหนอมีอยู่ วิญญาณจึงมี วิญญาณย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่อสังขารมีอยู่ วิญญาณจึงมี วิญญาณย่อมมีเพราะสังขารเป็นปัจจัย ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรานั้นได้มีความปริวิตกดังนี้ว่า เมื่ออะไรหนอมีอยู่ สังขารจึงมี สังขารย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรานั้น เพราะกระทำไว้ ในใจโดยแยบคาย จึงได้รู้ด้วยปัญญาว่า
เมื่ออวิชชามีอยู่ สังขารจึงมี สังขารย่อมมีเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ ... ดังพรรณนามาฉะนี้ ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ได้บังเกิดขึ้นแก่เราในธรรมที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า ฝ่ายข้างเกิด ฝ่ายข้างเกิด ดังนี้ ฯ”  “ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราได้มีความคิดดังนี้ เมื่ออะไรหนอแลไม่มีอยู่ ชราและมรณะจึงไม่มี เพราะอะไรดับ ชราและมรณะจึงดับ เพราะการใส่ใจโดยแยบคายของเรานั้น จึงรู้ได้ด้วยปัญญาว่า เมื่อชาติไม่มี ชราและมรณะจึงไม่มี เพราะชาติดับ ชราและมรณะจึงดับ เรานั้นได้มีความคิดดังนี้ว่า เมื่ออะไรหนอแล ไม่มีอยู่ ชาติจึงไม่มี ... ภพจึงไม่มี ... อุปาทานจึงไม่มี ... ตัณหาจึงไม่มี ... เวทนาจึงไม่มี ... ผัสสะจึงไม่มี ... สฬายตนะจึงไม่มี ... นามรูปจึงไม่มี ...เพราะอะไรดับ  นามรูปจึงดับ   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เพราะการใส่ใจโดยแยบคายของเรานั้น  จึงรู้ได้ด้วยปัญญาว่า  เมื่อวิญญาณไม่มี  นามรูปจึงไม่มีเพราะวิญญาณดับ  นามรูปจึงดับ  ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรานั้นได้มีความคิดดังนี้ว่า เมื่ออะไรหนอแล ไม่มีอยู่ วิญญาณจึงไม่มี เพราะอะไรดับ วิญญาณจึงดับ เพราะการใส่ใจโดยแยบคายของเรานั้น จึงรู้ได้ด้วยปัญญาว่า เมื่อนามรูปไม่มี วิญญาณจึงไม่มี เพราะนามรูปดับ วิญญาณจึงดับ เรานั้นได้มีความคิดดังนี้ว่ามรรคนี้เราได้บรรลุแล้วแล ด้วยปัญญาเครื่องตรัสรู้ คือ เพราะนามรูปดับ วิญญาณจึงดับ เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ ฯลฯ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เรายังไม่เคยได้ฟังมาในกาลก่อนว่า เหตุให้ทุกข์ดับ เหตุให้ทุกข์ดับ ดังนี้ ฯ  (สํ. นิ.๒๖/๒๕๑-๒๕๒/๓๐๖)    จากข้อมูลข้างต้นกล่าวถึงปกิจจสมุปบาท เป็นธรรมที่แสดงกฎของธรรมชาติ  ถึงความเป็นเหตุเป็นผลและความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันจนเป็นผลให้เกิดทุกข์และการแสดงเหตุที่ทำให้ทุกข์นั้นดับลง หรือกระบวนการเกิด-ดับของทุกข์  สำหรับในหัวข้อผลให้เกิดทุกข์ สรุปได้ดังนี้  อวิชชา    สังขาร    วิญญาณ  รูปนาม    สฬายตนะ    ผัสสะ    เวทนา   ตัณหา   อุปาทาน   ภพ    ชาติ   ชรามรณะ  ส่วนแสดงเหตุให้ทุกข์ดับลง    วิชชา    สังขารไม่มี วิญญาณไม่มี   รูปนามไม่มี    สฬายตนะไม่มี    ผัสสะไม่มี    เวทนาไม่มี    ตัณหาไม่มี   อุปาทานไม่มี   ภพไม่มี    ชาติ /ชรามรณะไม่มี  ส่วนแสดงเหตุให้ทุกข์ดับลง
        ๗. พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ทางสายกลางที่เป็นมัชฌิมาปฏิปทา ทางนั้นคือมรรคอันเป็นอริยะมีองค์ประกอบ ๘ ประการ  ดังข้อความในพระไตรปิฎก “ภิกษุทั้งหลาย เราได้พบมรรคาเก่า หนทางเก่า ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ เคยเสด็จไป ก็มรรคาเก่า
หนทางเก่า ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ เคยเสด็จไปนั้น เป็นไฉน คือมรรคาอันประกอบด้วยองค์ ๘ อันประเสริฐ นี้แล ได้แก่สัมมาทิฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ นี้แลมรรคาเก่า หนทางเก่า ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ เคยเสด็จไปแล้ว เราก็ได้เดินตามหนทางอัน
ประเสริฐซึ่งประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ อันเป็นทางเก่านั้นเมื่อกำลังเดินตามหนทางนั้นไปได้” (สํ. นิ.๒๖/๒๕๓/๓๐๖) พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ทางสายกลางที่เป็นมัชฌิมาปฏิปทาอันไม่คล้องแวะที่สุดสองอย่างคือ  หมกมุ่นด้วยกามสุขในกามทั้งหลายอันทราม เป็นของชาวบ้าน
ปุถุชน และการประกอบความลำบากเดือดร้อนแก่ตน ทางสายกลางคือ มรรคอันเป็นอริยะ มีองค์ประกอบ๘ประการ คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา  สัมมากัมมันตะ  สัมมาอาชีวะ  สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ
           การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า คือ รู้แจ้ง รู้อย่างแจ่มแจ้ง รู้ชัดเจน   ญาณ ๓ ได้แก่  บุพเพนิวาสานุสสติญาณ ความรู้เป็นเหตุให้ระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในอดีตได้ คือระลึกชาติได้  จุตูปปาตญาณ ความรู้ในจุติและอุบัติเกิดของสัตว์ทั้งหลาย เรียก ทิพพจักขุญาณ หรือ
ทิพยจักษุญาณ บ้าง   และ อาสวักขยญาณ ความรู้ในการกำจัดอาสวกิเสส จากข้อมูลในพระไตรปิฎกที่กล่าวถึงการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ได้กล่าวเรื่อง ขันธ์๕ อุปาทานขันธ์๕และสลัดออกจากอุปทานขันธ์๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณ การสลัดออกจากขันธ์๕
คือต้องรู้แจ้งขันธ์๕ การเกิดขันธ์๕ การดับของขันธ์๕และปฏิปทาหรือหนทางอันให้ถึงความดับของขันธ์๕ จะเห็นได้ว่าการสลัดออกจากขันธ์๕ใช้แนวทางปฏิบัติเดียวกับอริยสัจ๔   ในส่วนอริยสัจ๔ เมื่อเทียบเคียงธรรมที่เกี่ยวข้องได้ ดังนี้ ทุกข์ ได้แก่ อุปาทานขันธ์  สมุทัย
ได้แก่ อวิชชา   นิโรทได้แก่วิชชาและวิมุตติ และมรรคได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา    สำหรับกฎไตรลักษณ์คือ ไม่เที่ยง(อนิจจัง) เป็นทุกข์(ทุกขัง)และอนัตตา ซึ่งพระพุทธเจ้าได้เคยตรัสว่าอริยบุคคล คือผู้รู้ชัดรูป เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
เป็นสิ่งปรุงแต่ง บั่นทอนกันเอง    ดังนั้นกฎไตรลักษณ์ช่วยให้เข้าใจธรรมชาติของขันธ์และการสลัดออกจากอุปาทานขันธ์    ปกิจจสมุปบาท เป็นธรรมที่แสดงกฎของธรรมชาติถึงความเป็นเหตุเป็นผลและความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันจนเป็นผลให้เกิดทุกข์และการแสดงเหตุที่
ทำให้ทุกข์นั้นดับลง สรุปได้ว่าปกิจจสมุปบาทที่แสดงเป็นเหตุเป็นผลให้เกิดทุกข์มาจากความไม่รู้(อวิชชา)ในขันธ์๕ และเหตุที่ทำให้ทุกข์ดับมาจากความรู้(วิชชา)ในขันธ์๕   นอกจากนั้นพระพุทธเจ้าทรงประกาศพรหมจรรย์คือความประพฤติอันประเสริฐด้วยมรรคอันเป็นอริยะ
ประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ คือ  สัมมาทิฏฐิ  สัมมาสังกัปปะ  สัมมาวาจา   สัมมากัมมันตะ   สัมมาอาชีวะ   สัมมาวายามะ  สัมมาสติ  สัมมาสมาธิ เป็นวิธีปฏิบัติในการดับทุกข์หรือปฏิปทาหรือหนทางอันให้ถึงความดับของขันธ์๕   จากข้อธรรมข้างต้นที่ได้จากการตรัสรู้ของ
พระพุทธเจ้าอาจกล่าวได้ว่าล้วนมุ่งไปสู่หนทางในการดับทุกข์ และโดยหลักเกี่ยวข้องกับขันธ์๕  หรืออริยสัจ๔  
 
บรรณานุกรม                          
พระพรหมคุณาภรณ์.พุทธธรรม.พิมพ์ครั้งที่๓๖.กรุงเทพฯ:สำนักพิมพ์เพ็ทแอนด์โฮม.๒๕๕๖
พระพรหมคุณาภรณ์.พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม.พิมพ์ครั้งที่๒๕.กรุงเทพฯ:
            สำนักพิมพ์เพ็ทแอนด์โฮม.๒๕๕๖
มหามกุฏราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์. พระไตรปิฎก ฉบับสำหรับประชาชน. พิมพ์ครั้งที่ ๑๘.
            มปท:  มปป.
พระไตรปิฎกแปลไทย ฉบับหลวง ๔๕ เล่ม,๒๐ มีนาคม ๒๕๕๗             
          <http://www.thepathofpurity.com/home/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0
           %B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%9B-    
           %E0%B8%8E%E0%B8%81-pdf/%E0%B9%81%E0%B8%9B%E0%B8%A5-
           %E0%B9%94%E0%B9%95-%E0%B9%80%E0%B8%A5-%E0%B8%A1-                  
           %E0%B8%89%E0%B8%9A-  %E0%B8%9A%E0%B8%AB%E0%B8                             
           %A5%E0%B8%A7%E0%B8%87/
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี การตรัสรู้,๒๖ มีนาคม ๒๕๕๗
           <http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0                                                                                                                                        
           %B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89
สรุปและวิเคราะห์การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า,  ๑๙ มีนาคม ๒๕๕๗                      
           <http://mediacenter.mcu.ac.th/data/caipyo/m4/Unit1/unit1-20.php>
 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น