วันเสาร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2557

โภคะที่สำเร็จได้ด้วยนึกเอาไม่มีเลยฯ

                                                    อจินฺติตมฺติ ภวติ  จินฺติตมฺปิ วินสฺสติ
                                              น หิ จินฺตามยา โภคา อิตฺถิยา ปริสสฺส วาฯ
                                   สิ่งที่ไม่ได้คิดไว้ ย่อมมีได้ สิ่งที่คิดไว้ ก็เสียหายได้ โภคะของสตรี
                                              หรือบุรุษที่สำเร็จได้ด้วยนึกเอาไม่มีเลยฯ

                                                                                             
                                                                                         (มหาชนกโพธิสตฺต) ขุ. ชา. มหา. ๒๘/๑๖๗.
        บัดนี้ จักได้อธิบายธรรมตามธรรมสุภาษิต ที่มาในเรื่อง มหาชนกโพธิสัตว์ ตามพระบาลี ที่ได้ยกมาข้างต้นนี้ เพื่อเป็นการเผยแพร่ธรรมทางพระพุทธศาสนา ให้พุทธศาสนาสนิกชนทั้งหลายเกิดความรู้ ความเข้าใจและสามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม  ก่อนอื่นขอกล่าวที่มาของธรรมสุภาษิตบทนี้  ในสมัยที่พระสัมมาพุทธเจ้าเสวยพระชาติเป็นมหาชนกโพธิสัตว์เป็นราชโอรสของกษัตริย์เมืองมิถิลา ซึ่งต่อมาโดนแย่งชิงพระราชบันลังก์จากพระอนุชาที่เป็นกษัตริย์ในปัจจุบัน ครั้นเมื่อมหาชนกกุมารย่างเข้าวัยหนุ่มก็ได้เดินทางไปทำค้าขาย ร่วมกับพ่อค้าชาวสุวรรณภูมิเพื่อต้องการจะนำทรัพย์สินที่ได้จากการค้าขายไปหาทางต่อสู้เอาราชสมบัติเมืองมิถิลาคืนมา ในระหว่างทางเกิดพายุใหญ่โหมกระหน่ำ คลื่นซัดจนเรือจวนจะแตก บรรดาพ่อค้าและลูกเรือพากัน ตระหนกตกใจ บวงสรวง อ้อนวอนเทพยดาขอให้รอดชีวิต ฝ่ายมหาชนกกุมารเมื่อทรงทราบว่าเรือจะจมแน่แล้ว ก็เสวยอาหารจนอิ่มหนำ ทรงนำผ้ามาชุบน้ำมันจนชุ่ม แล้วนุ่งผ้านั้นอย่างแน่นหนา ครั้นเมื่อเรือจมลง เหล่าพ่อค้ากลาสีเรือทั้งปวงก็จมน้ำ กลายเป็นอาหารของสัตว์น้ำไปหมด แต่มหาชนกกุมารทรงมีกำลังจากอาหารที่เสวย มีผ้าชุบน้ำมัน ช่วยไล่สัตว์น้ำและช่วยให้ลอยตัวอยู่ในน้ำได้ดี จึงทรงแหวกว่ายอยู่ในทะเลได้นานถึง ๗ วัน ฝ่ายนางมณีเมขลาเทพธิดาผู้รักษามหาสมุทรได้รู้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นก็สรรเสริญความเพียรของมหาชนกกุมารและช่วยอุ้มพามหาชนกกุมารไปจนถึงฝั่งเมืองมิถิลา ในเมืองมิถิลากษัตริย์เพิ่งสวรรคตไปยังไม่มีใครขึ้นปกครองเพราะไม่สามารถหาผู้ที่มีความสามารถผ่านข้อทดสอบต่างๆได้ ต่อมามหาชนกกุมารได้รับการแต่งตั้งเป็นพระมหากษัตริย์ เพราะด้วยบุญวาสนาและความสามารถทางปัญญาที่สามารถผ่านการทดสอบได้อย่างง่ายดาย เมื่อพระมหาชนกประทับพระราชอาสน์ ภายใต้เศวตฉัตรทอดพระเนตรสิริวิลาสอันใหญ่ดั่งสิริของท้าวสักกเทวราช ก็ทรงระลึกถึงความพยายามที่พระองค์ได้ทำในมหาสมุทร จึงทรงนมสิการว่า ชื่อว่าความเพียร ควรทำแท้ ถ้าเราไม่ได้ทำความเพียรในมหาสมุทร เราจักไม่ได้สมบัตินี้ เมื่อทรงระลึกถึงความเพียรนั้นก็เกิดปิติโสมมนัสซาบซ่าน จึงทรงเปล่งพระอุทานด้วยกำลังพระปิติตรัสว่า 
 “บุรุษผู้เป็นบัณฑิตพึงหวังเข้าไว้  ไม่พึงเบื่อหน่าย เราเห็นการเป็นพระราชาสมปรารถนาแก่ตน บุรุษผู้เป็นบัณฑิตพึงหวังเข้าไว้ ไม่พึงเบื่อหน่าย เราเห็นตนเองถูกอุ้มจากน้ำขึ้นสู่บก บุรุษผู้เป็นบัณฑิตพึงพยายามเรื่อยไป ไม่พึงเบื่อหน่าย เราเห็นการเป็นพระราชาสมปรารถนาแก่ตน บุรุษผู้เป็นบัณฑิตพึงพยายามเรื่อยไป ไม่พึงเบื่อหน่าย เราเห็นตนเองถูกอุ้มจากน้ำขึ้นสู่บก นรชนผู้มีปัญญาแม้ได้รับทุกข์แล้ว ก็ไม่พึงตัดความหวังที่จะถึงความสุข จริงอยู่ ผัสสะทั้งที่ไม่มีประโยชน์เกื้อกูลและมีประโยชน์เกื้อกูลมีเป็นอันมาก คนเหล่านั้นไม่ตรึกถึงข้อนี้จึงถึงความตาย  สิ่งที่ไม่ได้คิดไว้ ย่อมมีได้ สิ่งที่คิดไว้ ก็เสียหายได้ โภคะของสตรี หรือบุรุษที่สำเร็จได้ด้วยนึกเอาไม่มีเลยฯ
         โภคะ หมายถึง ทรัพย์ สมบัติ จากข้อความในประโยคข้างต้น หมายถึง ทุกอย่างอาจไม่ได้ตามที่คิด สิ่งที่คิดและหวังก็อาจไม่ได้ หรือสิ่งที่ไม่หวังก็อาจเกิดขึ้นได้  มุ่งให้คนเรามีปัญญาพิจารณาว่าอะไรจำเป็นหรือไม่จำเป็น อย่าคิดหวังอะไรแบบสร้างวิมานในอากาศเพราะไม่มีสำเร็จด้วยความหวังหรือการคิดเอา หรือไม่มีทรัพย์ที่เกิดขึ้นได้ด้วยการคิดเพียงเท่านั้นต้องลงมือกระทำ  ดังเช่น เมื่อต้องการเป็นคนร่ำรายมีฐานะมั่นคงจะมัวมาคิดหวังหรืออ้อนวอนร้องขอเทวดาก็คงไม่สำเร็จ  ควรทำงาน/ประกอบอาชีพหารายได้ ในการประกอบชีพหรือทำการงานอะไรนั้น ควรพัฒนาตนเองให้มีความรู้ความสามารถในเรื่องนั้นๆ มุ่งมั่นในการทำงานและพัฒนางานอย่างเนื่อง ก็จะทำให้มีรายได้อย่างต่อเนื่องหรือเพิ่มขึ้นได้ นอกนั้นต้องรู้จักเก็บออม รู้ว่าอะไรควรใช้จ่ายหรือไม่ควรใช้จ่าย  รู้จักกินรู้จักใช้สิ่งของอย่างพอประมาณเมื่อทำต่อเนื่อง โอกาสพบความสำเร็จมีทรัพย์สินร่ำรวยมีฐานะมั่นคงสูง
       พระพุทธองค์ทรงแสดงถึงวิธีที่จะให้เกิดทรัพย์อันจะให้เกิดความสุขไว้ ในปัจจุบันมี ๔ ประการ คือ
       ประการที่๑ ขยันทำงาน คนที่ขยันทำงานเท่านั้นจึงจะหาเงินได้ จึงกล่าวไว้ว่า ความยากจนจะไม่มีในหมู่คนขยัน คนที่เกียจคร้านเท่านั้นจะไม่มีทางหาเงินได้ ลักษณะของคนขยันนั้น ท่านแสดงไว้ 3 ประเภท คือ
      ๑.๑ รีบทำธุรการงานที่ต้องทำโดยไม่ปล่อยให้ค้าง คือ ไม่ทิ้งงาน
      ๑.๒ รีบทำงานที่มาถึงมือโดยไม่ปล่อยให้ชักช้า คือ รีบทำทันที
      ๑.๓ ทำงานตามเวลา ไม่ผัดวันประกันพรุ่ง
     ประการที่ ๒ รักษาทรัพย์ เมื่อหาทรัพย์มาได้แล้ว ก็ต้องรักษาทรัพย์นั้นไว้ให้ดี ไม่ให้มีอันตราย   อันตรายที่จะให้ทรัพย์ต้องสูญเสียไปนั้น ที่สำคัญที่สุดคือ อบายมุขทางเสื่อมเสีย พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า อบายมุขนี้เป็นอันตรายแก่ทรัพย์ ถ้าผู้ใดประพฤติอบายมุขแล้ว ทรัพย์ที่หามาได้นั้นจะไม่มีเหลืออยู่เลย
      ประการที่ ๓ คบคนดี คนที่ดีถ้าเราได้มาเป็นเพื่อน เราก็จะกลายเป็นคนดีไปด้วย ถ้าเราไปคบคนไม่ดี ก็จะกลายเป็นคนที่ไม่ดีไปด้วยคนที่เสียคน ก็เพราะไปคบคนไม่ดี การคบกันนั้นเป็นเชื้อโรคชนิดหนึ่ง ซึ่งสามารถติดต่อกันง่าย ดังพุทธภาษิตว่า คบคนเช่นไร ย่อมเป็นคนเช่นนั้น คนที่ดีก็คือคนที่ประพฤติชอบด้วยกาย วาจา ใจ เราคบคนที่มีความประพฤติชอบ ด้วยกาย วาจา ใจ นี่แหละชื่อว่าคบ คนดี
      ประการที่ ๔ ประหยัด การเลี้ยงชีวิตตามสมควรแก่กำลังทรัพย์ที่หามาได้ เมื่อหามาได้แล้ว ก็ต้องกิน ต้องใช้ แต่ว่าท่านให้กินให้ใช้อย่างประหยัด ความเป็นอยู่ของแต่ละครอบครัวนั้นไม่เหมือนกัน บางครอบครัวก็ต้องใช้จ่ายมาก   บางครอบครัวก็ใช้จ่ายน้อย    อันนี้ขึ้นอยู่กับฐานะของแต่ละครอบครัว
อย่างไรเรียกว่า ประหยัด  อย่างไรเรียกว่า  ฟุ่มเฟือย  โบราณท่านกล่าวว่า  ถ้ามีเกินใช้ ได้เกินเสีย เป็นเศรษฐี   ถ้าเสียเกินได้ ใช้เกินมี เป็นยาจก หมายความว่า เรามีรายได้มาก แต่เรามีการใช้จ่ายน้อย ทรัพย์ที่หามาได้ก็เหลือ ถ้าเรามีรายได้น้อย แต่มีการใช้จ่ายมาก ทรัพย์ที่หามาได้ก็ไม่พอ ต้องกู้หนี้ยืมเขามาใช้จ่าย ก็กลายเป็นหนี้
       คนมีทรัพย์ย่อมได้รับความสุข ปรารถนาในปัจจัย ๔ ย่อมได้ การมีทรัพย์คือความมั่งคั่ง ความสมบูรณ์พูนสุขด้วยปัจจัย ๔ แต่ต้องรู้จักการใช้สอยทรัพย์สมบัตินั้น กล่าวคือการใช้จ่ายในทรัพย์สินเหล่านั้นให้เป็นประโยชน์ ถ้ามีทรัพย์ แต่ไม่รู้วิธีในการที่จะใช้จ่ายทรัพย์ให้เป็นประโยชน์ ก็หาความสุขไม่ได้ มีแต่ความเดือดร้อน กังวลใจในการรักษาทรัพย์สมบัติที่ไม่เป็นประโยชน์แก่ตนและผู้อื่น อีกทั้งไม่รู้วิธีการบริหารทรัพย์ให้เป็นประโยชน์ในทางที่ชอบ ทรัพย์สมบัตินอกจากไม่เพิ่มพูนขึ้นแล้ว ยังจะไม่เป็นประโยชน์ต่อคนอื่นๆ อีกด้วย  มีปัญหาว่าจะทำอย่างไร จึงจะมีทรัพย์เพื่อให้เกิดความสุข การที่จะทำให้มีทรัพย์และให้เกิดความสุขนั้น ก็ต้องทำในสิ่งที่ถูกที่ควร และทำในสิ่งที่ชอบทั้ง๔ ประการ ข้างต้น เมื่อทราบวิธีที่จะให้เกิดทรัพย์อันจะให้เกิดความสุขเป็นประโยชน์ในปัจจุบัน นับว่าไม่ขัดสนอับจนในชีวิต ย่อมทำชีวิตเป็นชีวิตที่ดี เป็นชีวิตที่ประเสริฐ เป็นชีวิตที่ไม่สูญเปล่า เป็นชีวิตที่มีความสุข
     นอกจากนี้ยังมีธรรมะที่ทำให้บุคคลถึงความสำเร็จในการกระทำๆ หรือการทำงานซึ่งนำไปสู่การมีทรัพย์   ที่เรียกว่า อิทธิบาท หรือ อิทธิบาท ๔ เป็นคุณธรรมที่นำไปสู่ความสำเร็จแห่งผลที่มุ่งหมาย มี ๔ ประการ คือ
         ๑. ฉันทะ (ความพอใจ) คือ ความต้องการที่จะทำ ใฝ่ใจรักจะทำสิ่งนั้นอยู่เสมอ และปรารถนาจะ
ทำให้ได้ผลดียิ่งๆขึ้นไป สำหรับผู้เป็นหัวหน้างานจำเป็นอย่างยิ่งต้องสร้างความพอใจแก่คนทำงาน ควรทำให้เขารู้ว่าทำแล้วจะเกิดผลอย่างไร ไม่ทำแล้วจะเกิดผลอย่างไร
         ๒. วิริยะ (ความเพียร) คือ ขยันหมั่นประกอบสิ่งนั้นด้วยความพยายาม เข้มแข็ง อดทน เอาธุระ
ไม่ท้อถอย  ตรงกันข้ามกับความเกียจคร้าน คนเกียจคร้านมักเป็นคนขลาด คนกลัว จะทำงานแต่ละครั้งจะต้องอ้าง การชนะความเกียจคร้านด้วยวิริยะ คือความเพียร ความกล้าแม้จะมีอุปสรรค
         ๓. จิตตะ (ความคิด) คือ ตั้งจิตรับรู้ในสิ่งที่ทำ และทำสิ่งนั้นด้วยความคิด เอาจิตฝักใฝ่ ไม่ปล่อย
ใจให้ฟุ้งซ่านเลื่อนลอยไป ไม่ควรปล่อยปละละเลยกับงานของตน ควรตรวจตรางานอยู่เสมอ
         ๔. วิมังสา  คือ ใช้ปัญญาในการทำงาน พิจารณาใคร่ครวญ ตรวจหาเหตุผล และตรวจสอบข้อ
ยิ่งหย่อนในสิ่งที่ทำนั้น มีการวางแผน วัดผล คิดค้นวิธีแก้ไขปรับปรุง เป็นต้น ต้องทำงานให้ถูกต้องตามกาล ไม่ทำก่อนหรือหลังเวลาอันควร และทำให้ถูกลักษณะของงาน
       ดังเห็นได้ว่าพระมหาชนกมีอิทธิบาท๔ ในการกระทำการงานต่างๆ จนพบความสำเร็จ ดังนั้นการที่ทุกคนจะเจริญก้าวหน้าได้ ความก้าวหน้าต้องมีเหตุปัจจัยไม่ได้เกิดขึ้นมาเอง    พระพุทธศาสนาไม่ได้สอนเรื่องโชคลาภหรือฤกษ์งามยามดี ไม่ได้สอนเรื่องการบวงสรวงอ้อนวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พระพุทธศาสนาสอนเรื่องกรรมคือการกระทำ ใครทำกรรมดีย่อมได้ดี/รับผลดี การกระทำจึงเป็นสิ่งสำคัญ พระพุทธศาสนาไม่สอนเรื่องกรรมเก่า สอนควรสร้างกรรมใหม่ให้ดี ความสำเร็จของชีวิตย่อมขึ้นอยู่กับปัจจัยดังกล่าวในอดีตและปัจจุบัน ตลอดจนสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง การกระทำอะไรและนำไปสู่การประสบความสำเร็จในชีวิต เรียกการกระทำให้ว่า “มงคลชีวิต” การทำเป็นมงคลชีวิตเรียกว่าการพัฒนาคุณภาพชีวิต  การพัฒนาชีวิตให้ประสบความสำเร็จตามที่ต้องการ คือ
        ๑. ด้านสิ่งแวดล้อมภายนอก ได้แก่ ไม่คบคนพาลเพื่อป้องกันตัวให้ไม่เป็นคนพาล คบบัณฑิต
เพื่อปรับตัวให้เป็นคนดีเฉลียวฉลาดเยี่ยงบัณฑิต บูชาคนควรบูชาเพื่อยกย่องคนดี และการอยู่ในถิ่นดีที่เหมาะสมย่อมมีโอกาสในการสร้างความดี
       ๒. สิ่งแวดล้อมภายในตนเอง ได้แก่ สั่งสมคุณความดีไว้เป็นทุนเดิม ย่อมกระตุ้นใจตนเองให้หมั่นสะสมบุญวาสนา ดำรงตนอยู่ในทางที่ดีที่ชอบ เป็นการป้องกันตนไม่ให้เดินผิดพลาด ศึกษาหาความรู้ในวิทยาการต่างๆเป็นคนคงแก่เรียนได้สดับฟังเกิดความแตกฉาน ฝึกฝนตนเอง  ให้มีความชำนาญในวิชาชีพ ช่วยให้เป็นคนมีความคิดสร้างสรรค์ หัดเป็นคนมีระเบียบวินัย ส่งเสริมให้เป็นคนเรียบร้อยและมีกิริยาวาจาสุภาพเรียบร้อย ทำให้เป็นคนมีวาจาสิทธิ์
        ๓. หน้าที่ทางครอบครัว ได้แก่ การบำรุงพ่อแม่ การสงเคราะห์ลูก การสงเคราะห์สามีหรือภรรยา เพื่อส่งเสริมให้มีสำนึกหวังตอบแทนที่ได้รับบำรุงมาก่อน และการงานไม่คั่งค้าง ชื่อว่าเป็นคนบรรลุถึงความสำเร็จ
        ๔. หน้าที่ทางสังคม ได้แก่ การแบ่งปัน ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ธรรมจริยาคือการปฏิบัติธรรมชื่อว่าเอาสาระของชีวิต และการงานไม่มีโทษชื่อว่าเกื้อกูลคนอื่น
      ๕.ศีลธรรมเป็นเครื่องชี้นำไปทางที่ควร อันจะเป็นเหตุให้ทำความชั่วไม่ได้โดยง่าย โดยจำแนกเป็น ศีลได้แก่ การงดเว้นจากบาปทั้งปวงการงดเว้นจากการเสพของมึนเมา คำว่าธรรมคือความไม่ประมาทในธรรมทั้งปวง ความเคารพผู้ที่ควรเคารพ ความถ่อมตัว ความสันโดษ และความกตัญญู เป็นต้น
       ๖. การพัฒนาชีวิตทางธรรม ได้แก่ บำเพ็ญตบะ คือลงมือปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังเพื่อเผาผลาญกิเลส ประพฤติพรหมจรรย์คือดำเนินชีวิตเป็นนักบวช เห็นอริยสัจคือพัฒนาปัญญาจนรู้แจ้งจริงในอริยสัจ ทำนิพพานให้แจ้งคือทำลายกิเลสได้หมด จนเป็นผู้บริสุทธิ์สิ้นเชิง
      ๗.การพัฒนาชีวิตถึงขั้นสุดยอด ได้แก่ จิตไม่หวั่นไหว จิตไม่มีความเศร้าโศก จิตปราศจากธุลีคือกิเลสทั้งปวง จิตเกษมคือเป็นอิสระจากพันธะทั้งปวง
       นอกจากนี้พบว่าคนที่มีความสำเร็จมักเป็นผู้ไม่ประมาทที่มีความคิดพิจารณาใคร่ครวญ รอบครอบ รู้ว่าตนเองต้องการอะไร ควรทำอย่างไร ตนเองกระทำอะไรอยู่ ทำแล้วจะเกิดผลอย่างไร  ความไม่ประมาทนี้ แบ่งได้เป็น ๔ ประการคือ
        ๑. การระมัดระวังที่จะไม่ประพฤติผิดทางกาย ได้แก่ ไม่ฆ่าสัตว์  ไม่ลักทรัพย์ และไม่ประพฤติผิดในกาม
        ๒. การระมัดระวังที่จะไม่ประพฤติผิดทางคำพูด ได้แก่ ไม่พูดเท็จ ไม่ส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบและไม่พูดเพ้อเจ้อ
        ๓. การระมัดระวังที่จะไม่ประพฤติผิดด้วยใจคิด  ได้แก่ ไม่โลภอยากได้ของเขา    ไม่พยาบาทปองร้าย  และเห็นชอบตามคลองธรรม
        ๔. ไม่ประมาทในความชั่ว คือ มองเห็นว่าเป็นสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่สำคัญแล้ว กระทำลงไป เพราะสิ่งเล็กน้อยอาจเป็นชนวนให้เกิดเรื่องใหญ่ได้ เช่น การพูดล้อเล่นก่อให้เกิดการทะเลาะวิวาท เป็นต้น
อานิสงส์การไม่ประมาท
        ขั้นสูงสุดสามารถบรรลุธรรมได้ พระอรหันต์เป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว นอกจากนี้ยัง เป็นมหากุศล   เป็นคนไม่ตาย   ป้องกันทางไปสู่อบายภูมิ   คลายจากความทุกข์ต่างๆได้   ทำให้ปฏิบัติตนอยู่ในธรรม  เป็นการสร้างบุญกุศลและเกิดบุญกุศลแก้ผู้ปฏิบัติ  ทำให้เกิดความสุข   ปลุกตนให้ตื่น   ชื่นชมเบิกบาน และเผาผลาญความชั่ว

การฝึกตนเป็นผู้ไม่ประมาทนั้น พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ๔ ประการ คือ
        ๑. ไม่ประมาทในกาย ละกายทุจริต  ให้ประพฤติ   กายสุจริต ได้แก่ ไม่ฆ่าสัตว์  ไม่ลักทรัพย์ และไม่ประพฤติผิดในกาม
       ๒. ไม่ประมาทในวาจา ละวจีทุจริต  ให้ประพฤติ   วจีสุจริต ได้แก่ ไม่พูดเท็จ ไม่ส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบและไม่พูดเพ้อเจ้อ
       ๓. ไม่ประมาทในใจ ละมโนทุจริต  ให้ประพฤติ    มโนสุจริต ได้แก่ ไม่โลภอยากได้ของเขา    ไม่พยาบาทปองร้าย  และเห็นชอบตามคลองธรรม 
        ๔. ไม่ประมาทในการละเห็นความผิด  ให้มีสัมมาทิฏฐิ  ทำความเห็นให้ถูก
     ผู้ที่ประพฤติตนด้วยความไม่ประมาทจะพาไปสู่ความสำเร็จ นำความเจริญมาสู่ตัวเราเพราะ ผู้ไม่ประมาทย่อมมีสติสัมปชัญญะ ระลึกได้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ มีความรู้สึกตัวอยู่เสมอ จึงกระทำด้วยความระมัดระวัง ปฏิบัติหน้าที่จนบรรลุเป้าหมายโดยปราศจากความเดือดร้อนแก่ตนเองและผู้อื่น
 สิ่งที่ไม่ควรประมาทนี้ มี ๕ ประการคือ
       ๑.ไม่ประมาทในเวลา มีสติเตือนตนอยู่เสมอว่า “วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่” อย่ามัวเมาทำในสิ่งไร้สาระ เช่น เล่นไพ่ คุยโม้ ดูแฟชั่น ให้เร่งรีบทำงานให้เต็มที่แข่งกับเวลา เพราะเวลามีน้อย เมื่อกินชีวิตไปแล้วก็เรียกกลับคืนไม่ได้
      ๒.ไม่ประมาทในวัย มีสติเตือนตนอยู่เสมอว่า อย่าคิดว่าตัวยังเป็นเด็กอยู่ จึงเที่ยวเล่นเพลิดเพลินไปวันๆ หนึ่ง เพราะถ้านับอายุตั้งแต่ชาติแรกๆ จนถึงบัดนี้ แต่ละคนต่างมีอายุคนละหลายกัปแล้ว
      ๓.ไม่ประมาทในความไม่มีโรค มีสติเตือนตนอยู่เสมอว่า อย่าคิดว่าเราจะแข็งแรงอยู่อย่างนี้ตลอดไป ถ้ากรรมชั่วในอดีตตามมาทันอาจป่วยเป็นโรค ไม่สบายเมื่อไรก็ได้ เพราะฉะนั้นในขณะที่สุขภาพยังดีต้องรีบขวนขวายสร้างความดีให้เต็มที่
      ๔.ไม่ประมาทในชีวิต มีสติเตือนตนอยู่เสมอว่า อย่าคิดว่าเรายังมีชีวิตอยู่ สุขสบายดี เราจะยังมีชีวิตอยู่อีกนาน เพราะจริงๆ แล้วเราอาจจะตายเมื่อไรก็ได้ มัจจุราชไม่มีเครื่องหมายนำหน้า จึงเร่งรีบขวนขวายในการละความชั่ว สร้างความดีและทำจิตใจให้ผ่องใสอย่างเต็มที่ ทุกรูปแบบ ทุกโอกาส
     ๕.ไม่ประมาทในการงาน มีสติเตือนตนอยู่เสมอว่า จะทำงานทุกอย่างที่มาถึงมือให้ดีที่สุด ทำอย่างทุ่มเทไม่ออมมือ ทำงานไม่ให้คั่งค้าง ไม่ท้อถอย ไม่ผัดวันประกันพรุ่ง
      ๖.ไม่ประมาทในการศึกษา มีสติเตือนตนอยู่เสมอว่าจะขวนขวายหาความรู้อย่างเต็มที่ อะไรที่ควรอ่านควรท่องก็จะรีบอ่านรีบท่องโดยไม่แชเชือน ตระหนักถึงคุณค่า และความสำคัญของการศึกษาหาความรู้ซึ่งจะเป็นกุญแจไขปัญหาชีวิตทุกๆ อย่าง
      ๗.ไม่ประมาทในการปฏิบัติธรรม มีสติเตือนตนอยู่เสมอว่า จะปฏิบัติธรรมอย่างสม่ำเสมอไม่ย่อท้อโดยเริ่มตั้งแต่บัดนี้ ไม่ใช่รอจนแก่ค่อยเข้าวัด จะฟังเทศน์ก็หูตึงฟังไม่ถนัด จะนั่งสมาธิก็ปวดเมื่อยขัดยอกไปหมด ลุกก็โอย นั่งก็โอย เมื่อระลึกได้เช่นนี้ จึงมีความเพียรใส่ใจในการปฏิบัติธรรมเพราะทราบดีว่า การปฏิบัติธรรมนั้น ทำให้เกิดความสุขแก่ตนทั้งโลกนี้และโลกหน้า และเป็นวิธีการเดียวที่ทำให้เราสามารถบรรลุเป้าหมายอันสูงสุดแห่งชีวิต คือ พระนิพพาน  
        ความไม่ประมาทมีความสำคัญมาก  พระพุทธเจ้า ได้ตรัสในพระไตรปิฎก สังยุตตนิกายเล่ม ๑๕ หน้า ๑๒๒ ว่า  “บุคคลผู้ปรารถนาอยู่ซึ่งอายุ ความไม่มีโรค วรรณะ สวรรค์ ความเกิดในตระกูลสูง และความยินดีอันโอฬารต่อ ๆ ไป พึงบำเพ็ญความไม่ประมาท  บัณฑิตทั้งหลายย่อมสรรเสริญ ความไม่ประมาทในบุญกิริยาทั้งหลาย บัณฑิตผู้ไม่ประมาท ย่อมยึดไว้ได้ซึ่งประโยชน์ทั้ง ๒ คือ ประโยชน์ภพนี้ และประโยชน์ภพหน้า เพราะยึดไว้ได้ซึ่งประโยชน์ ผู้มีปัญญาจึงได้นามว่า “บัณฑิต”ฯ”  แม้กระทั่งก่อนที่พระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พระพุทธองค์ก็ได้ตรัสเป็นปัจฉิมวาจา “เราขอเตือนพวกเธอว่า สังขารทั้งหลายมีความสิ้นไปเสื่อมไป เป็นธรรมดาพวกเธอจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด”    เมื่อเป็นผู้ไม่ประมาทก็มักประสบความสำเร็จ
      คนที่ต้องการมีทรัพย์แต่ไม่ปฏิบัติ/กระทำการใดๆ ในส่วนดีก็ไม่ต้องเหนื่อยแต่ทำให้ไม่มีทรัพย์ดั่งตนเองเองหวัง คนไม่พบความสำเร็จหรือไม่มีทรัพย์นั้น  มักคิดไว้อย่างหนึ่งอย่างใดแล้ว แต่กลับไม่ทำ หรือไม่ทำอย่างที่คิด กลับไปทำสิ่งอื่น ที่ไม่ได้คิดไว้ล่วงหน้า บางครั้งผลของการกระทำ ก็ไม่ได้เป็นไปดังใจที่คิดว่า เพราะเหตุปัจจัยในการกระทำนั้น ผิดกับเรื่องที่ตนคิดไว้ เช่น การอ้อนวอนร้องขอจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตนเองนับถือ โดยปราศจากการกระทำ เพียงแต่ขอสิ่งที่ตนเองปรารถนา สิ่งที่ตนปรารถนานั้น คงไม่สำเร็จตามความประสงค์แน่แท้ เพระผิดหลักของเหตุผลที่พึงจะมีได้ เพราะพระพุทธศาสนานั้น สอนเรื่องของเหตุผล ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว สร้างเหตุดี ย่อมได้ผลดี สร้างเหตุชั่ว ได้ผลชั่ว ปลูกมะม่วง ย่อมได้มะม่วง จะได้ผลไม้อย่างอื่นเป็นผลที่ไม่พึงมิได้ คำว่าความบังเอิญในคำสอนทางพระพุทธศาสนานั้นไม่มีเลย ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากเหตุ คำว่าเหตุนั้น มีทั้งเหตุใกล้ และเหตุไกล ต้องสาวให้ถึงที่สุด  นอกจากนี้อุปสรรคที่ทำให้การงานไม่สำเร็จ /เสียทรัพย์/ไม่มีทรัพย์  คือ อบายมุข ๖ ได้แก่ ๑.การดื่มน้ำเมา  ๒.เที่ยวกลางคืน  ๓.การดูการละเล่นเป็นนิจ  ๔.เล่นการพนัน  ๕.คบคนชั่วเป็นมิตรและ๖.เกียจคร้านในการทำงาน  ซึ่งอบายมุขเป็นทางแห่งความเสื่อม ความพินาศของโภคทรัพย์  ได้แก่ ความเสื่อมจากกุศลกรรม และเสื่อมทางปัญญา  เช่น  ๑.การดื่มน้ำเมาทำให้เสียทรัพย์ มีผลเสียคือ ก่อการทะเลาะวิวาท  เป็นบ่อเกิดของโรค  เป็นเหตุให้เสื่อมเสียชื่อเสียง  เป็นเหตุให้รู้จักไม่ละอาย ทอนปัญญาและทำให้เกิดอุบัติเหตุจนถึงขั้นเสียชีวิต  ๒. การเที่ยวกลางคืน มีผลเสียคือ  ทำให้เกิดโรคต่างๆ  ทำให้ครอบครัวเดือดร้อนขาดความอบอุ่น   สิ้นเปลืองเงินทอง  มักถูกใส่ความว่าเป็นคนร้ายหรือร่วมมือกับคนร้าย  ไม่มีใครไว้วางใจและได้รับความลำบาก  ๓.การดูการละเล่นเป็นนิจ ก่อให้เกิดผลเสียคือการงานเสื่อมเสียเพราะใจกังวลคอยคิดจ้อง กับเสียเวลาเมื่อไปดูสิ่งนั้นๆ  ๔. ติดการพนัน  มีผลเสียคือ  เมื่อชนะย่อมก่อเวร   เมื่อแพ้ก็เสียดายทรัพย์ที่เสียไป   ทรัพย์หมดไป   ถ้อยคำไม่น่าเชื่อถือ   เป็นที่หมิ่นประมาทของเพื่อนฝูง และไม่เป็นที่พึงประสงค์ของผู้ที่จะหาคู่ครองให้ลูก เพราะเห็นว่าจะเลี้ยงลูกเมียไม่ไหว   ๕. คบคนชั่วเป็นมิตร คบใครมักเป็นอย่างนั้น  ผลเสียเป็น นักการพนัน   นักเลงหญิง  นักเลงเหล้า นักลวงของปลอม  นักหลอกลวงและนักเลงหัวไม้   ๖. เกียจคร้านการงาน  มีผลเสียคือ เป็นข้ออ้างผัดเพี้ยนไม่ทำการงาน โภคะใหม่ก็ไม่เกิด โภคะที่มีอยู่ก็หมดสิ้นไป  
   จะเห็นได้ว่าคนไม่พบความสำเร็จ/ไม่มีทรัพย์นั้นมักขาดความรอบครอบ ไม่พิจารณาใคร่ครวญอย่างเหตุผล ละเลยไม่กระทำหรือทำไม่ถูกต้องเหมาะสมถือว่าเป็นผู้ประมาทอยู่    ผู้ที่มีความประมาท จะมีลักษณะชะล่าใจ ขาดความระมัดระวัง  ทำการมักง่าย ขาดความรอบคอบ ทะนงตัว ไม่ทำความดีติดต่อกัน จึงมักกล่าวกันว่า “ความประมาทคือหนทางแห่งความตาย”  ความประมาทแสดงออกได้ทาง กาย วาจา ใจ   ชนเหล่าใดประมาทแล้ว ย่อมเป็นเหมือนคนตายแล้ว ชื่อว่าเป็นความ "ประมาท" ส่งผลให้การกระทำนั้นเกิดความเสียหาย หรือไม่เกิดผลดีต่อการงาน เกิดความเสียหายต่อตนเองและบุคคลอื่น ถ้าร้ายแรงมากอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อสังคม ประเทศชาติหรือสังคมโลก มีผลต่อชาติต่อไปอาจเกิดในอบายภูมิได้
      จากพุทธพจน์  ให้กำจัดความประมาท ด้วยความไม่ประมาท   “เมื่อนั้นเขานับว่าได้ขึ้นสู่ปราสาท คือ มีปัญญา ไร้ความเศร้าโศก สามารถมองเห็นประชาชนผู้โง่เขลา ผู้ยังต้องเศร้าโศกอยู่ เสมือนคนยืนอยู่บนยอดเขา มองลงมาเห็นฝูงชน ที่ยืนอยู่บนพื้นดินฉะนั้น” วิธีการกำจัดความประมาทด้วยการทำความไม่ประมาท ไม่ยุ่งเกี่ยวกับอบายมุข  ทำงานด้วยหลักอิทธิบาท๔  และปฏิบัติตามมงคลชีวิตดังข้อความข้างต้น
      ดังนั้นหากคนเราต้องการประสบความสำเร็จนั้น ไม่ว่าเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ต้องลงมือเปลี่ยนความคิดให้เป็นการกระทำ ให้เป็นผลงานออกมาให้ได้ ขณะมีความคิดดีๆเกิดขึ้น รีบลงมือกระทำเพราะความคิดนั้นอาจสูญหายไป อย่าผัดวันประกันพรุ่ง จะเห็นได้ในอดีตซึ่งบรรพบุรุษได้มีความคิดและสร้างสรรค์ผลงานและมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องกลายเป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัยในวันนี้ เพราะเขาไม่ได้เป็นนักคิดอย่างเดียวเป็นนักกระทำ หากคนเรามีความคิดดีๆอย่างน้อยมาถูกทางหากให้ถึงความสำเร็จได้ต้องกระทำเสียแต่วันนี้ ถ้าทำแล้วเกิดปัญหาอุปสรรคให้เข้าใจว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา จงอดทนและก้าวไปให้ได้ ต้องลงมือกระทำจึงพบความสำเร็จ แม้มีอุปสรรคบ้างหากไม่หยุด ไม่ท้อแท้ ไม่หมดหวัง ไม่หยุดทำ และพัฒนาต่อเนื่องจะพบความสำเร็จได้  เส้นทางชีวิตบางครั้งพบความสำเร็จหรือล้มเหลวนั้นบางครั้งมาจากโอกาสอื่นด้วย เช่น จังหวะ โอกาส หรือความเหมาะพอดี แต่อีกส่วนหนึ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญจากวิธีคิดนั้นวิธีต่างกันก็จะนำมาซึ่งการกระทำที่ต่างกันด้วย  คนไม่ทำเพราะเขาคิดว่าทำไม่ได้ ไม่อยากทำ คิดแล้วทำไม่ได้ตามที่ต้องการก็เลิกทำก็ไม่สำเร็จ บางคนคิดต่าง เมื่อคิดจะทำแล้วอาจทำยังไม่ได้ก็ไม่ย่อท้อ ยังพยายามหาวิธีการต่างๆและทำจนสำเร็จ คนที่ประสบความสำเร็จต้องแลกด้วยหยาดเหงื่อแรงงานทั้งทางกายและใจ อาจต้องเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนวิธีทำ ลองผิดลองถูกจนประสบความสำเร็จ หากคนเราต้องการความสำเร็จ/มีทรัพย์ไม่ใช้เพราะเขาเก่ง แต่เขาคิด เขากระทำ เขาพยายามจนสุดกำลัง แม้ทำไม่ได้ก็ไม่หยุดคิดไม่หยุดกระทำก็พบความสำเร็จ หากคิดแล้วไม่ทำ/ทำไม่ได้ เพราะไม่มีวิธีทำ ไม่รู้วิธีทำก็ต้องหาความรู้จากคนที่ทำได้มาประยุกต์ใช้ เชื่อว่าทุกคนพัฒนาตนเองได้มากพบความสำเร็จมากกว่าความล้มเหลวอย่างแน่นอน
แหล่งอ้างอิง
https://m.facebook.com/notes/%E0%B8%A0%E0%B8%9E%E0%B8%A0%E0%B8%B9%E0%B8%A1%E0%B8%B4-%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A2/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%97/365418913491418/
http://www.sainampeung.ac.th/chalengsak/units/unit1/chapter%205/buddha_supasit/pramat.html
https://www.facebook.com/ReadForVision/posts/683678374976823
http://www.stou.ac.th/study/sumrit/9-56(500)/page5-9-56(500).html

วันพฤหัสบดีที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2557

ทัศนะเกี่ยวกับเทคโนโลยีการสื่อสารกับการเผยแพร่พุทธศาสนาของไทย

    เทคโนโลยีการสื่อสาร เป็นสิ่งที่มนุษย์พัฒนาขึ้นเพื่อใช้ในการสื่อสารระหว่างกัน ถ่ายทอดข้อมูลข่าวสารร่วมกัน ผ่านเครื่องมือ อุปกรณ์ เครื่องจักร วัสดุ นอกจากนั้นยังรวมถึงกระบวนการต่างๆ ที่เกิดจากการประยุกต์ทางวิทยาศาสตร์ด้วย   ซึ่งมีส่วนทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ในปัจจุบันมีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นและคนสามารถสื่อสารได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น จะพบว่ามีการนำเทคโนโลยีทางการสื่อสารมาใช้ในชีวิตประจำวัน ได้แก่ ด้านการศึกษา ด้านการแพทย์และสาธารณสุข การวินิจฉัยและรักษาโรค ด้านการเกษตรและอุตสาหกรรม ด้านการเงินและการธนาคาร ด้านความมั่นคงของชาติ  ด้านการคมนาคม  ด้านวิศวกรรมและสถาปัตยกรรม และด้านการพาณิชย์ เป็นต้น จะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีการสื่อสารมีสำคัญต่อการดำเนินชีวิตของเราอย่างมาก
  เมื่อประมาณ 40 ปีที่ผ่านมาผู้เขียนยังจำได้ว่าการสื่อสารในสมัยนั้นส่วนใหญ่ใช้การส่งจดหมาย ถ้าต้องการความรวดเร็วเร่งด่วนก็ใช้การโทรเลข ส่วนโทรศัพท์นั้นมีน้อยส่วนใหญ่อยู่ในเมืองหรือในส่วนราชการ ซึ่งทำให้คนในยุคนั้นมีโอกาสการรับรู้ข่าวสารน้อย ประชาชนของประเทศส่วนใหญ่ได้ข้อมูลข่าวสารมาจากวิทยุ ส่วนโทรทัศน์สมัยนั้นยังมีจำนวนน้อยในเขตชนบท นอกจากนั้นยังได้รับความรู้และข้อมูลข่าวสารจากการศึกษาห้องเรียน การบอกเล่าจากพ่อแม่ญาติพี่น้อง จากเพื่อนบ้าน  สำหรับคนในชนบทหรือชานเมืองอย่างผู้เขียนความรู้ทางพระพุทธศาสนาได้จากวัดเพราะวัดอยู่ในวิถีของชุมชนเกี่ยวเนื่องกับการดำเนินชีวิตของคนในชุมชนโดยตลอด ดังเช่น  การบวช การแต่งงาน การตาย มีการทำบุญตักบาตรตอนเช้าทุกวัน ทุกครอบครัวมาทำบุญในวันสำคัญทางพุทธศาสนาและงานประเพณีในชุมชน ได้แก่ วันมาฆบูชา  วันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชา วันเข้า-ออกพรรษา วันสงกรานต์ วันสาร์ทไทย งานบุญกฐิน-ผ้าป่า งานบุญประจำปี  นอกจากนี้เป็นที่จัดงานมหรสพของชุมชน ได้แก่ งานวันลอยกระทง งานเฉลิมฉลองต่างๆ เมื่อได้ไปทำบุญพระภิกษุสงฆ์ท่านมักให้ธรรมะด้วยวิธีการเทศนาโดยอ่านจากใบลาน ขณะนั้นผู้เขียนยังเด็กยอมรับว่าฟังแล้วยังไม่ค่อยเข้าใจนัก ในระบบการศึกษาสมัยนั้นนักเรียนจะได้ความรู้เพิ่มเติมในวิชาศีลธรรมจำได้ว่าคุณครูให้ความรู้ในวันสำคัญทางพุทธศาสนาและมีบทเพลงประกอบและชักชวนให้ทำบุญ สอนให้มีความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณและละเว้นการทำบาป อยู่ในครอบครัวมีการอบรมสั่งสอนจากพ่อ-แม่ ปู่-ย่า ตา-ยาย ญาติผู้ใหญ่ซึ่งสอดคล้องกับคุณครู ประกอบกับคนส่วนใหญ่ใกล้ชิดและพึ่งพาธรรมชาติมีการดำเนินชีวิตโดยภาคการเกษตรกรรม รายได้ไม่มากนักต้องดำเนินชีวิตแบบพึ่งตนเองปลูกข้าวและพืชผักกินเอง หาปลาได้จากแม่น้ำลำคลองไม่ต้องพึงพาแม่ค้าอย่างเช่นในปัจจุบันและมีช่วยเหลือซึ่งกันและกันในสังคม  มีสื่อกระตุ้นในการบริโภคน้อย พบว่าผู้คนส่วนใหญ่มีจิตใจสงบเย็น มีไมตรีจิตต่อกัน มีความเชื่อถือและศรัทธาต่อพระพุทธศาสนา ต่อมาพบว่ามีการสื่อสารทางโทรทัศน์ได้แพร่กระจายมากขึ้น เกิดความรู้ด้านต่างๆกว้างขวางมากขึ้น มีรายการธรรมะหรือในบางโอกาสสำคัญๆนิมนต์พระให้ธรรมะและให้พร เช่น วันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่  และอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้รายการโทรทัศน์อยู่ได้และพัฒนาอย่างต่อเนื่องส่วนใหญ่มาจากการโฆษณาประชาสัมพันธ์สินค้าอุปโภคและบริโภคเพื่อให้ผู้คนเข้าถึงสินค้าได้มากขึ้นเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศชาติ ผู้คนเริ่มรู้จักสินค้าต่างๆมากมายขึ้น บางสิ่งก็มีประโยชน์ในการใช้ชีวิต และบางสิ่งก็เกินความจำเป็น แล้วแต่กำลังซื้อและสติปัญญาของผู้บริโภคจะพิจารณา วิถีชีวิตผู้คนเริ่มเปลี่ยนไปสู่ระบบอุตสาหกรรมทิ้งภาคการเกษตร มีการซื้อขายที่ดินกันมาก เจ้าของที่ดินบางคนขายไร่นาเป็นเศรษฐีหน้าใหม่นำเงินมาซื้อสินค้าอุปโภค บริโภค บางรายหมดตัวและต้องไปรับจ้าง ยากจนลง หลายครอบครัวเช่าที่ดินทำกินจากเจ้าของที่ที่ขายให้กับเจ้าของโครงการหมู่บ้านจัดสรรไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตนเองก็ต้องเข้าสู่โรงงานฯได้ค่าจ้างระดับไม่มากเป็นแรงงานไม่มีฝีมือ มีการส่งเสริมให้ลูกหลานเข้าสู่โรงงานอุตสาหกรรม บางคนพัฒนาตนเองหาความรู้เพิ่มเติมเป็นแรงงานระดับมีฝีมือค่าจ้างสูงขึ้น มีผู้คนจำนวนมากเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินชีวิตเข้าภาคอุตสาหกรรม เข้าทำงานเป็นเวลา เวลาให้กับครอบครัวน้อยลง ปฏิสัมพันธ์กับคนในชุมชนน้อยลง เริ่มต้องพึ่งพาอาหารจากร้านค้าต่างๆจากเดิมซึ่งทำกินเอง วิถีชีวิตห่างไกลวัดมากขึ้น การร่วมกิจกรรมกับทางวัดลดลง และมีกิจกรรมในชุมชนน้อยลง กระแสการบริโภควิ่งเข้ามาอย่างต่อเนื่องด้วยเส้นทางเทคโนโลยีการสื่อสารต่างๆที่เจริญทันสมัยขึ้น เช่น โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ และด้วยระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ขณะเดียวกับความรู้ทางพุทธศาสนามีการเผยแพร่ด้วยระบบเทคโนโลยีที่ทันสมัยเช่นกัน สามารถเข้าถึงความรู้ทางธรรมได้ง่ายและรวดเร็วทำให้ผู้คนที่สนใจธรรมสามารถหาความรู้ทางธรรมและอ่านพระไตรปิฎกได้สะดวกในระบบออนไลน์ มีหนังสือธรรมจำหน่ายจ่ายแจกมากมายให้สามารถอ่านได้ ตามวัดหรือสถานปฏิบัติธรรมต่างๆมีการเผยแพร่ความรู้ทางธรรม มีรูปแบบการเทศนาเปลี่ยนไปเป็นการยกหลักธรรมมาอธิบายเพื่อปรับใช้ในการดำเนินชีวิต/หรือการสนทนาธรรมแตกต่างจากเดิมที่อ่านจากใบลานทำให้ผู้คนมีความรู้ความเข้าใจในข้อธรรมที่ชัดเจนขึ้น และประชาสัมพันธ์ชักชวนผู้คนไปปฏิบัติธรรม ทำให้ผู้สนใจธรรมเลือกสถานที่ปฏิบัติธรรมตามความสนใจ
ในปัจจุบันเราจะพบได้ว่าจิตใจของผู้คนกลับไม่สงบเย็นเหมือนเดิม ผู้คนต้องดิ้นรนทำงานหนักมากขึ้น มีการแข่งขันกันสูง  บางคนก็เอารัดเอาเปรียบแสวงหาผลประโยชน์จากบุคคลอื่นหรือทำลายธรรมชาติ ทำให้ธรรมชาติแปรเปลี่ยนไป มีภัยพิบัติเกิดในยุคปัจจุบัน เช่น น้ำท่วม ดินถล่ม แผ่นดินไหว ไฟไหม้ป่า ภาวะโลกร้อน เป็นต้น มีปัญหาอาชญากรรมเพิ่มมากขึ้น ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินน้อยลงอย่างมาก ผู้คนไม่ไว้วางใจกันเป็นเหตุให้ผู้คนมีภาวะเครียดสูงขึ้น การควบคุมอารมณ์ต่างๆได้น้อยลงมีโอกาสทะเลาะวิวาทกันได้ง่าย พบว่า มีการทำร้ายกัน ฆ่ากันด้วยความโกรธและความไม่พอใจกันง่ายขึ้น หรืออาศัยความโกรธไม่พอใจทำลายล้างกัน เกิดความแตกแยก แตกความสามัคคีกันมากขึ้น นอกจากนี้ผลกระทบการบริโภคที่เกินความจำเป็นทำให้เกิดโรคต่างๆ เช่น โรคอ้วน ไขมันในเลือดสูง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง เส้นเลือดในสมองแตก ไตวายเรื้อรัง โรคมะเร็งต่างๆ และปัญหาทางสุขภาพจิต เป็นต้น  เนื่องจากผู้คนบริโภคกันเกินความจำเป็น ในกระแสส่งเสริมการบริโภคผ่านระบบเทคโนโลยีการสื่อสาร จึงทำให้การสื่อสารโฆษณาประชาสัมพันธ์เข้ามามีบทบาทในธุรกิจและการดำเนินชีวิตของคนอย่างมาก โดยพยายามใช้กลยุทธ์ในการแข่งขันด้านโฆษณาประชาสัมพันธ์ทุกวิถีทางที่กระตุ้นให้ผู้คนมีความต้องการซื้อสินค้าของตน เช่น อาหารหลากหลาย เครื่องดื่มแฟชั่นเสื้อผ้า รองเท้า เครื่องแต่งตัว  เครื่องสำอาง การเสริมความงาม ยานพาหนะที่ทันสมัย เครื่องมือสื่อสารที่ทันสมัยรุ่นใหม่ๆ เป็นต้น ซึ่งสินค้าบางอย่างไม่มีประโยชน์และเกินความจำเป็นในชีวิต ด้วยสภาวการณ์ในปัจจุบันที่กระตุ้นการบริโภคอย่างไม่จำกัด ผู้คนมีรู้สึกอยากและต้องการเกินความจำเป็นมีภาวะหนี้สินกันมากขึ้น ไม่พิจารณาถึงประโยชน์และผลกระทบที่เกิดขึ้น ในทางธรรมตามหลักพุทธศาสนา ความยากเป็นกิเลสและตัณหา คือความอยากกิน อยากมี อยากได้และอยากเป็น พบว่าถ้ามีมากยิ่งทำให้เกิดทุกข์ได้มากทั้งต่อตนเองและผู้อื่น หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาส่งเสริมให้คนลด ละกิเลสเพื่อความดับทุกข์ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุด แต่พบว่ามีผลกระทบด้านลบมากกว่าด้านบวกที่เกิดในสังคม
            จากปัญหาที่พบว่าในปัจจุบัน จึงทำให้องค์กรทางศาสนา และกลุ่มคนจำนวนหนึ่งที่เชื่อมั่นและศรัทธาต่อพระพุทธศาสนาพยายามหาทางออกให้กับผู้คนที่กำลังทุกข์และสังคม โดยการส่งเสริมความรู้ การปฏิบัติและกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา เช่น ทำบุญฟังธรรมในวันอาทิตย์ตามวัดต่างๆ การบวชสามเณรภาคฤดูร้อน ส่งเสริมให้มีการบวชพระศึกษาธรรม ส่งเสริมการเรียนรู้ทางพระพุทธศาสนาแก่พระภิกษุ-สามเณร และฆารวาส การเปิดอบรมบวชเนกขัมมะ โครงการจัดอบรมนักเรียน/นักศึกษาไปปฏิบัติธรรมที่วัดหรือสถานปฏิบัติธรรม เปิดให้ผู้คนเข้ามาร่วมกิจกรรมกับทางวัด เป็นจิตอาสา /พุทธอาสา มีการผลิตสื่อทางพุทธศาสนาจ่ายแจกจำนวนมาก ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นพบว่ามีผู้คนมาสนใจเข้าวัดฟังธรรมมากขึ้น และที่น่าสังเกตมีผู้คนมาปฏิบัติกรรมฐานตามวัดและสถานที่ปฏิบัติธรรมมากขึ้นมี ทั้งเด็ก วัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ จากเดิมในอดีตที่ผ่านมานั้นคนส่วนใหญ่ไปวัดตักบาตรทำบุญกันมาก แต่การปฏิบัติกรรมฐานน้อย ส่วนใหญ่เป็นผู้ใหญ่ที่มีอายุหรือผู้อาวุโส เนื่องจากขณะนั้นพระในบางวัดมีความรู้ด้านปฏิบัติกรรมฐานน้อย ในปัจจุบันมีการส่งเสริมการศึกษาและเทคโนโลยีทางการสื่อสารทำให้พระและฆารวาสมีความรู้ด้านการปฏิบัติกรรมฐานกันมากขึ้น เปิดการอบรมกรรมฐานกันมากขึ้น นอกจากนี้ยังส่งเสริมการดำเนินชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พบว่ากลุ่มคนที่ใช้ชีวิตตามแนวทางหลักเศรษฐกิจพอเพียงมีความสุขและความสงบร่มเย็นขึ้น ซึ่งแนวทางดังกล่าวอาศัยหลักธรรมตามแนวทางพระพุทธศาสนามาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน จากสิ่งเกิดขึ้นในปัจจุบันทำให้คนส่วนหนึ่งกำลังเรียนรู้วิธีแก้ไขปัญหาหรือดำเนินชีวิตในแนวทางที่ถูกต้องและเหมาะสม แต่ยังพบว่ามีผู้คนจำนวนมากยังหาทางออกไม่เจอ ยังเปรียบเสมือนกับแมลงเม้าที่บินเข้าหากองไฟที่เข้าสู่กระแสความทุกข์อย่างไม่รู้ตัวโดยเข้าใจว่าเป็นความสุข ในฐานะเป็นคนไทยด้วยกันและนับถือพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ควรส่งเสริมให้คนไทยควรมาดำเนินชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ส่งเสริมให้สถาบันครอบครัวมีความเข้มแข็ง ส่งเสริมด้านการศึกษาให้คนไทยโดยเฉพาะเยาวชนมีความรู้และนำมาใช้ประโยชน์ได้จริง  ส่งเสริมและอำนวยความสะดวกให้ระบบสื่อสารผลิตรายการที่ส่งเสริมคุณธรรมและจริยธรรมให้มากขึ้นทั้งในวิทยุและโทรทัศน์ นำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาส่งเสริมการศึกษาและให้ความรู้ทางพุทธศาสนา พระภิกษุและสามเณรควรมีความรู้และการปฏิบัติทางพุทธศาสนาอย่างถูกต้องเหมาะสมสามารถถ่ายทอดให้กับผู้คนต่างๆได้เข้าใจและสามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตได้ พุทธสานิกชนชาวไทยควรมีความรู้ทางพุทธศาสนาและนำมาใช้ในดำเนินชีวิตได้ มีสติสัมปชัญญะ มีโยนิโสมนสิการพิจารณาใคร่ครวญอย่างแยบคายและมีเหตุผล ใช้หลักมัชฌิมาปฏิปทาในการดำเนินชีวิต

https://sites.google.com/site/2200405muthita/e-book/bth-thi-1  16 กันยายน 2557
https://sites.google.com/site/kruyutsbw/prayochn-laea-tawxyang  21 กันยายน 2557

วันศุกร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2557

มาเลิกดื่มสุรากันเถิด


มาเลิกดื่มสุรากันเถิด

            ชาวไทยส่วนใหญ่นับพุทธศาสนา ซึ่งสอนให้ชาวพุทธควรปฏิบัติตัวตามหลักไตรสิกขาคือ ทาน ศีล ภาวนาเพื่อความสุขและความสงบในชีวิตและสังคม แต่กลับพบว่าสังคมไทยมีปัญหาความรุนแรงและอาชญากรรมเพิ่มขึ้นเนื่องจากคนไม่ปฏิบัติตัวอยู่ศีล  ซึ่งศีลระดับต้นของชาวพุทธที่ควรรักษาหรือปฏิบัติตามคือศีล๕ ซึ่งได้แก่
           
๑. ปาณาติปาตา เวรมณี งดเว้นจากการทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วงไป
            ๒. อทินนาทานา เวรมณี งดเว้นจากการถือเอาของที่เจ้าของมิได้ให้
            ๓. กาเมสุ มิจฉาจารา เวรมณี งดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม
            ๔. มุสาวาทา เวรมณี งดเว้นจากการกล่าวเท็จ
            ๕. สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐานา เวรมณี งดเว้นจากการดื่มสุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท
(พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๑,ข้อ๒๘๖, หน้า  ๒๒๖ – ๒๘๘)
จะพบว่าปัจจุบันชาวพุทธละเลยการปฏิบัติในศีลข้อต่างๆ กันมากขึ้นแม้จะมีการให้ความรู้ ความสำคัญในการปฏิบัติรักษาศีลจากสื่อต่างๆของทางพุทธศาสนาหรือจากผู้สนใจในธรรม   โดยเฉพาะศีลข้อที่๕ คืองดเว้นจากการดื่มสุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาทนั้น พบว่าที่ผ่านมาประเทศไทยมีการขยายตัวในการผลิตสินค้าในกลุ่มสุราเพื่อการแข่งขันทางธุรกิจและการส่งออก นอกจากนั้นยังผลิตภัณฑ์สินค้าดังกล่าวในชุมชน  แต่รัฐบาลก็ได้พยายามแก้ปัญหาอันเนื่องจากดื่มสุรา โดยมีมาตรการการเข้าถึงและหาซื้อสุราคือ นโยบายการจำกัดอายุผู้ซื้อและการดื่มสุราว่าไม่ให้ต่ำกว่า๑๘ปี  มาตรการลดอุบัติเหตุเมาไม่ขับ และการบำบัดรักษาต่างๆ เป็นต้น  แต่กลับพบว่าผู้ดื่มสุรามีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และส่งผลกระทบต่างๆ เช่น ปัญหาทางสุขภาพ  อุบัติเหตุทำให้สูญเสียชีวิตและทรัพย์สินจำนวนมาก บางรายทุพลภาพเป็นภาระให้ครอบครัวและสังคม นอกจากนั้นยังก่อให้เกิดปัญหาอาชญากรรมอื่นๆตามมาได้ง่าย เช่น การทำเลาะวิวาท ทำร้ายชีวิตและทรัพย์สินผู้อื่น การลักขโมย การล่วงละเมิดทางเพศ เป็นต้น
 จากสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงทราบสิ่งนี้มาก่อนแล้วและได้ตรัสไว้ใน 
 สุราเมรยสูตร ว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน สัตว์ผู้งดเว้นจากการดื่มน้ำเมา คือ เมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาทมีน้อย โดยที่แท้ สัตว์ผู้ไม่งดเว้นจากการดื่มน้ำเมา คือสุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท มีมากกว่า ฯลฯ”  (พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙,ข้อ ๑๗๖๐,หน้า๔๕๘ - ๔๖๐)  แสดงให้เห็นว่าปัญหาการดื่มสุราก็มีเกิดขึ้นในอดีตเช่นกัน และพระพุทธองค์ได้ชี้ให้เห็นโทษของการผิดศีลข้อที่๕ คือ สุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ๖ ประการนี้ คือ
 ๑. ความเสื่อมทรัพย์อันผู้ดื่มพึงเห็นเอง คนดื่มสุรามักสูญเสียทรัพย์สินที่เนื่องจากการดื่มสุรา ค่ารักษาพยาบาล ค่าใช้จ่ายต่างๆที่เกี่ยวข้องกับสุรา  เป็นต้น  
 ๒. ก่อการทะเลาะวิวาท เมื่อดื่มสุราจะย้อมใจทำให้กล้าจนขาดสติมีโอกาสเกิดการทะเลาะได้เนื่องจากต่างคนต่างไม่กลัวกัน อาจเริ่มจากความเห็นไม่ตรงกัน มีปากเสียงกล่าวว่ากัน และทำร้ายร่างกายกัน
 ๓. เป็นบ่อเกิดแห่งโรค เช่น สุรามีผลเสียต่อร่างกาย แบ่งเป็น 2 แบบ คือ แบบเฉียบพลันและแบบเรื้อรัง
       ๓.๑  แบบเฉียบพลัน (Acute) สุราสามารถทำให้เกิดอาการพิษอย่างเฉียบพลันได้
อาการที่เกิดขึ้นอยู่กับปริมาณของสุราในเลือด ทำให้เกิดอาการสนุกสนานร่าเริง (Euphoria)  เสียการควบคุมการเคลื่อนไหว (Incoordination)  มึนเมา เดินไม่ตรงทาง (Ataxia) เกิดอาการสับสน (Confusion) เกิดอาการง่วงซึม (Stuporous)  ดื่มปริมาณมากอาจสลบ และอาจถึงแก่ชีวิตได้ (Coma)
                  ๓.๒ แบบเรื้อรัง (Chronic) ผู้ที่ดื่มสุราติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ๆ จะเกิดภาวะเป็นพิษต่ออวัยวะทุกส่วนของร่างกาย ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดโรคต่างๆ ได้
                  ) ผลกระทบต่อทางเดินอาหาร
                                       -  กระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก สุราจะกระตุ้นให้มีการหลั่งกรดและน้ำย่อยในกระเพาะอาหารมากขึ้น ซึ่งช่วยให้เจริญอาหาร แต่ถ้าสุรามีปริมาณมากและความเข้มข้นสูงจะเป็นเหตุให้เกิดการระคายเคือง และเกิดการอักเสบของเยื่อบุกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก เมื่อเกิดการอักเสบเรื้อรังจะทำให้การดูดซึมอาหารลดลง ซึ่งส่งผลทำให้ร่างกายขาดสารอาหารและวิตามินหลายชนิด เช่น วิตามินบีหนึ่ง เป็นต้น
                             -  ตับอ่อน สุรามีผลทำให้น้ำย่อยของตับอ่อนเพิ่มขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดการอุดตันของท่อในตับอ่อน เป็นเหตุให้น้ำย่อยภายในตับอ่อนที่เพิ่มขึ้นไม่สามารถขับออกไปได้ ซึ่งเป็นต้นเหตุให้ตับอ่อนอักเสบ มีอาการแน่นท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย ปวดท้องบริเวณลิ้นปี่ หรือระดับสะดือมาก คลื่นไส้ อาเจียน ไข้สูง อาจช็อคและตายได้
                             -   ตับ เป็นอวัยวะในการเผาผลาญหรือทำลายพิษของสุราขณะเดียวกันสุราก็จะทำให้มีไขมันแทรกอยู่ในตับมากขึ้น   เป็นเหตุให้เซลล์ของตับตายแล้วเกิดแผลเป็น มีพังผืดบางๆ เกิดขึ้นในบริเวณนั้น ถ้าเกิดตับอักเสบร่วมด้วยจะมีการทำลายเซลล์มากขึ้น ในที่สุดจะกลายเป็นตับแข็งและอาจนำไปสู่การเป็นมะเร็งที่ตับได้
                ผลต่อระบบเมตาบอลิกและต่อมไร้ท่อ    สุราทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดต่ำลง จนถึงทำให้หมดสติและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ เนื่องจากสุราสกัดกั้นการสร้างน้ำตาลกลูโคสจากไกลโคเจนในตับ ในทางตรงกันข้ามสุราสามารถทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น หรือมีอาการเบาหวานได้เนื่องจากมีการทำลายเซลล์ของตับอ่อน  ซึ่งสร้างอินซูลิน (Insulin) ให้แก่ร่างกาย  สุราทำให้กรดแลคติค (Lactic) ในเลือดสูงขึ้นเป็นเหตุให้การขับถ่ายกรดยูริกทางไตน้อยลง ระดับยูริกในเลือดจึงสูงขึ้นและตกตะกอนในส่วนต่างๆของร่างกายทำให้เกิดการอักเสบ เช่น เกิดการอุดตันในท่อไต และไตอักเสบ ตลอดจนข้ออักเสบหรือโรคเกาต์ (Gout) เป็นต้น
                      ) ผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง สุราจะไปกดการทำงานของสมอง ทำให้เกิดผลต่างๆ ดังนี้
                             -  ผลต่อความรู้สึกและการรับรู้  สุราทำให้ความไวต่อกลิ่นและรสเสื่อมลง หูอื้อ ตาลาย ความสามารถในการแยกความเข้มของแสงลดลง โดยเฉพาะแสงสีแดง การคาดคะเน ความเร็วและระยะทางของวัตถุต่ำกว่าความเป็นจริง เป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายนอกจากนี้ความไวในการเจ็บปวดก็น้อยลง เพราะสุรามีฤทธิ์คล้ายยาสลบ
                                      -  ผลต่อกลไกการเคลื่อนไหว  สุราทำให้ปลายประสาทเกิดการอักเสบเป็นเหตุให้กล้ามเนื้ออ่อนกำลังลงและทำงานไม่ประสานกัน ผู้ดื่มสุราจึงพูดไม่ชัดเหมือนคนลิ้นไก่สั้น ยืนโอนเอนไปมา เดินไม่ตรงทางหรือบางครั้งถึงกับเดินไม่ได้ เพราะเกิดเป็นตะคริวบ่อยๆมีอาการชาตามปลายมือและปลายเท้า ทั้งนี้ก็เพราะขาดวิตามินบีหนึ่งนั่นเอง
                                       -  ผลต่อความรู้สึกทางเพศ ผู้ดื่มสุรามากมักจะทำให้สมรรถภาพทางเพศลดลง ส่วนผู้ที่ติดสุราจะมีความบกพร่องและไร้สมรรถภาพทางเพศ ผู้ที่มีประวัติเป็นโรคพิษสุราเรื้อรังมักจะชราภาพและต่อมเพศเสื่อมก่อนเวลาอันควร      ตลอดจนเพิ่มปัญหาทางเพศแก่คู่ชีวิตอีกด้วย
                                      -  ผลต่อการนอนหลับ   ผู้ที่ดื่มสุราจำนวนมากแล้วเข้านอนจะพลิกตัวกลิ้งไปมาเป็นพักๆ และตื่นขึ้นมาตอนเช้าด้วยอาการปวดศีรษะ อ่อนเพลียมาก นอกจากสุราจะไปกดสมองและระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อความรู้สึก การรับรู้กลไกการเคลื่อนไหวและอารมณ์ ซึ่งเป็นผลให้เกิดอุบัติเหตุและเกิดการทำผิดกฎหมายสูงขึ้น สุรายังทำให้เกิดอาการอักเสบและบวมที่เยื่อหุ้มสมองและที่เนื้อสมองด้วย
               ) ระบบหัวใจและหลอดเลือด    สุราทำให้การทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจต่ำลง เนื่องจากมีการสะสมไขมันและสารที่สำคัญ เช่น นอร์อิพิเนฟริน (Norepinephrine) แมกนีเซียม (Magnesium) แคลเซียม (Calcium) และเอนไซม์ (Enzymes) ต่างๆ นอกจากนี้ในผู้ที่ดื่มสุราจัดเป็นเวลานาน จะพบโรคหัวใจที่เกิดจากพิษสุรา (Alcoholic cardiomyopathy)
                            ) ระบบการต่อต้านจุลชีพ  สุราทำให้ภูมิต้านทานของร่างกายต่ำลง เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้ดื่มสุรามีโอกาสเป็นโรคปอดบวมและติดเชื้ออื่นๆ ได้ง่ายกว่าผู้ไม่ดื่ม แพทย์ผู้รักษาจึงมักแนะนำให้ผู้ป่วยหยุดดื่มสุราในระหว่างรักษา
            ๔. เป็นเหตุเสียชื่อเสียง ผู้ดื่มสุราอาจเมามากควบคุมตนเองไม่ได้ จะทำให้กล้าทำในสิ่งไม่
ควรทำ เช่น ทำร้ายผู้อื่น หรือหนักถึงกับทำร้าย พ่อแม่ของตนซึ่งมีผลทำให้โดนตำหนิ ตริเตียนจาก คนในครอบครัว เพื่อนร่วมงาน หรือผู้ที่พบเห็น เป็นต้น  
            ๕. เป็นเหตุไม่รู้จักละอาย ผู้ที่เมาจากการดื่มสุราไม่ว่าเป็นหญิงเป็นชายมีพฤติกรรมเหมือน
กันเป็นเหตุให้ทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องและ เหมาะสม คือไม่รู้จักอาย กล้าเปิดเผยอวัยวะที่ควร ปกปิด นอนหลับในที่ไม่สมควร ขาดความยับยั้งในการพูดและการแสดงออก ผู้ที่ดื่มสุราจึงมักจะพูดจาไม่สุภาพ กริยาก้าวร้าว  เป็นต้น
           ๖. เป็นเหตุทอนปัญญา ปัญญาของคนเราจะใช้ได้ดีก็ต่อเมื่อทั้งกายและใจเป็นปกติ เมื่อดื่ม
สุราเข้าไปจนเมาแล้วก็ควบคุมตัวไม่ได้ ปัญญาก็จะไม่ได้ถูกใช้ จะลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ (พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๑,ข้อ๑๗๙, หน้าที่  ๑๖๔ - ๑๗๓)
               จากโทษของการดื่มสุราดังกล่าว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงชี้แนะถึงวิธีปฏิบัติเพื่อละเหตุกระทำผิดในศีลทั้ง๕ ข้อ ดังนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงเจริญสัมมัปปธาน ๔ นี้ เพื่อละธรรมเครื่องผูกมัดจิต ๕ ประการนี้แล ฯ ๕ ประการเป็นไฉน คือ ปาณาติบาต ฯลฯสุราเมรยมัชชปมาทัฏฐาน ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหตุเครื่องให้สิกขาทุรพล ๕ ประการนี้แล ฯ
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงเจริญสัมมัปปธาน ๔ เพื่อละเหตุเครื่องให้สิกขาทุรพล ๕ ประการนี้แล สัมมัปปธาน ๔ เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลายภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมปลูกฉันทะ พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิต ตั้งจิตไว้ เพื่อไม่ให้ธรรมอันเป็นบาปอกุศลที่ยังไม่เกิดเกิดขึ้น ๑   เพื่อละธรรมอันเป็นบาปอกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว ๑  เพื่อยังกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น๑  เพื่อความตั้งมั่น ไม่ฟั่นเฟือน เพื่อความเจริญยิ่ง เพื่อความไพบูลย์ เพื่อความเจริญ เพื่อความบริบูรณ์แห่งกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงเจริญสัมมัปปธาน ๔ นี้ เพื่อละเหตุเครื่องให้สิกขาทุรพล ๕ ประการนี้แล ฯลฯ  (พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓,ข้อ๒๗๘,หน้า๔๒๘ - ๔๒๙)    สรุปการปฏิบัติตามหลักสัมมัปปธาน ๔ คือ ปลูกฉันทะ พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิต ตั้งจิตไว้ 
             ๑. เพื่อไม่ให้ธรรมอันเป็นบาปอกุศลที่ยังไม่เกิดเกิดขึ้น คือ ไม่คิด/ทำความชั่ว(ไม่ดี)ต่างๆที่ยังไม่เคยคิดทำ
                ๒. เพื่อละธรรมอันเป็นบาปอกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว  คือ ไม่คิด/ทำความชั่ว(ไม่ดี)  ต่างๆที่เคยเกิดขึ้น เช่น มุ่งมั่น ตั้งใจและไม่ดื่มสุราอีก
               ๓. เพื่อยังกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น คือ มุ่งมั่น ตั้งใจ และประกอบการทำความดี เช่น รักษาศีล๕  เมตตาช่วยเหลือผู้อื่น เป็นต้น
               ๔. เพื่อความตั้งมั่น ไม่ฟั่นเฟือน เพื่อความเจริญยิ่ง เพื่อความไพบูลย์ เพื่อความเจริญ เพื่อความบริบูรณ์แห่งกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว หมายถึง มุ่งมั่น ตั้งใจ ประกอบและรักษาความดีให้พอกพูนยิ่งขึ้น เช่น รักษาศีล๕ให้บริบูรณ์
            จะเห็นได้ว่าสัมมัปปธาน ๔ เป็นหลักใหญ่๔ประการ เพียงแต่ผู้ปฏิบัติเข้าใจในหลักการแล้วก็สามารถปฏิบัติให้เป็นไปตามหลักการที่วางไว้ คือ ละเว้นความชั่ว  ต้องหมั่นประกอบความดีอยู่เนืองๆพร้อมระวังรักษาความดีให้พอกพูนมากยิ่งขึ้น ก็จะช่วยให้ชาวพุทธไม่ละเมิดในศีลและสามารถหลีกเลี่ยงการดื่มสุราเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาทได้

 

บรรณานุกรม

ข้อเสียของการดื่มสุรา http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROaWRXUXhNREk1TURjMU5RPT0=5 กันยายน 2557

พิชัย  แสงชาญชัย , “ตำรายาเสพติด”, ,(กรุงเทพมหานคร:วัชระอินเตอร์ปริ้นติ้ง,2544),หน้า 218
สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๑ 

 สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๙
  
สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๓

วันเสาร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2557

พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร

พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร                                                                        
       การตรัสรู้เป็นปรากฏการณ์ที่ทำให้เห็นถึงพุทธจริยาในการค้นพบสัจธรรม คือความจริงของสรรพสิ่งในโลก ที่ทำให้พระสัมมาพุทธเจ้าเป็นผู้บริสุทธิ์หมดจดจากกิเลสเครื่องเศร้าหมอง การตรัสรู้ของพระองค์นับว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ที่มีต่อชาวโลก  จนทำให้ผู้คนได้มีคุณธรรมความดีเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจมาได้จนทุกวันนี้ ซึ่งพระพุทธองค์ตรัสว่าสภาพธรรม เป็นของมีอยู่แล้วไม่ว่าจะมีพระพุทธเจ้า เกิดขึ้นหรือไม่ พระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ตรัสรู้สภาพธรรมนั้น ๆ แล้วนำมาบอกเล่าให้เข้าใจชัดขึ้นความจริงหรือสัจธรรมที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาตินี้ จึงเป็นของกลางสำหรับทุกคน และมิใช่สิ่งที่ประดิษฐ์หรือคิดขึ้นตามอารมณ์เพ้อฝัน พระพุทธเจ้าตรัสว่า ตราบใดที่พระองค์ยังมิได้ตรัสรู้ความจริงในลักษณะ ๓ อย่าง คือ รู้ตัวความจริง รู้หน้าที่อันควรทำเกี่ยวกับความจริงนั้น และรู้ว่าได้ทำหน้าที่สำเร็จบริบูรณ์แล้ว   ตราบนั้นพระองค์ก็ยังไม่อาจกล่าวได้ว่าตรัสรู้แล้ว  ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความจริงนั้นพระองค์ได้ทรงลงมือปฏิบัติจนค้นพบประจักษ์แล้ว พระองค์จึงได้นำมาสั่งสอน พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ธรรมดังนี้
  ๑. คุณและโทษของอุปาทาน(ความยึดมั่นถือ)ขันธ์๕และการสลัดออกจากอุปาทานขันธ์ ดังข้อความในพระไตรปิฎกดังนี้  “เมื่อใดเรารู้ยิ่งซึ่งคุณโดยความเป็นคุณ  ซึ่งโทษโดยความเป็นโทษ  ซึ่งเครื่องสลัดออกโดยความเป็นเครื่องสลัดออก  แห่งอุปาทานขันธ์  ๕  เหล่านี้  ตามความเป็นจริงอย่างนี้.  เมื่อนั้น  เราจึงปฏิญาณว่า  เป็นผู้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในโลก  พร้อมทั้งเทวโลก  มารโลก  พรหมโลก  ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์  เทวดาและมนุษย์.ก็แลญาณทัสสนะได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราว่า วิมุติของเราไม่กำเริบ ชาตินี้เป็นที่สุด บัดนี้ภพใหม่ไม่มี.”   “ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อใด สัตว์ทั้งหลาย รู้ยิ่งซึ่งคุณโดยความเป็นคุณ ซึ่งโทษโดยความเป็นโทษ ซึ่งเครื่องสลัดออกโดยความเป็นเครื่องสลัดออกแห่งอุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ ตามความเป็นจริง เมื่อนั้น สัตว์ทั้งหลายจึงเป็นผู้ออกไป พรากไปหลุดพ้นไป มีใจอันหาขอบเขตมิได้อยู่ในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์.”  (สํ. ขันธ. ๒๗/๖๐/๖๓).
   ๒ ได้กล่าวถึงอุปาทานขันธ์๕  การทำให้ดับไปซึ่งอุปาทานขันธ์๕   โดยรู้แจ้งใน ๔ ขั้นตอน ในองค์ประกอบขันธ์๕( รูป เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณ)  คือ เรารู้ยิ่งซึ่งรูป ความเกิดแห่งรูป ความดับแห่งรูป ปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งรูป รู้ยิ่งซึ่งเวทนา ฯลฯ รู้ยิ่งซึ่งสัญญา ฯลฯ รู้ยิ่งซึ่งสังขาร ฯลฯ รู้ยิ่งซึ่งวิญญาณฯลฯ ตามความเป็นจริง เบื่อหน่าย คลายความกำหนัดและดับความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์๕ได้   ดังข้อความในพระไตรปิฎกดังนี้  “พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า อุปาทานขันธ์ ๕ คือ อุปาทานขันธ์คือรูป   อุปาทานขันธ์คือ เวทนา อุปาทานขันธ์คือสัญญา อุปาทานขันธ์คือสังขาร อุปาทานขันธ์คือวิญญาณ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อใดแล เรารู้ยิ่งซึ่งอุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ โดยเวียนรอบ ๔ คือ เรารู้ยิ่งซึ่งรูป ความเกิดแห่งรูป ความดับแห่งรูป ปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งรูป  รู้ยิ่งซึ่งเวทนา ฯลฯ รู้ยิ่งซึ่งสัญญา ฯลฯ รู้ยิ่งซึ่งสังขาร ฯลฯ รู้ยิ่งซึ่งวิญญาณ ความเกิดแห่งวิญญาณ ความดับแห่งวิญญาณ ปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งวิญญาณ.ตามความเป็นจริง เมื่อนั้น เราจึงปฏิญาณว่า เป็นผู้ตรัสรู้ชอบยิ่งซึ่งสัมมาสัมโพธิญาณ อย่างยอดเยี่ยม ในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์.”  “ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า หลุดพ้นเพราะเบื่อหน่าย เพราะคลายกำหนัดเพราะดับ เพราะไม่ถือมั่นรูป ... เวทนา ... สัญญา ... สังขาร ... วิญญาณ เทวดาและมนุษย์ต่างพากัน เรียกว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า.  (สํ. ขันธ. ๒๗/๑๑๒/๑๒๕)  จากข้อความข้างต้นคุณและโทษของอุปาทาน(ความยึดมั่นถือ)ขันธ์๕และการสลัดออกจากอุปาทานขันธ์หรือการดับไปซึ่งอุปาทาน   ซึ่งขันธ์ หมายถึง กอง, หมวด, หมู่, ส่วน ในทางพุทธศาสนาหมายถึงร่างกาย ของมนุษย์ คือแยกร่างกาย ออกเป็นส่วนๆ ตามสภาพได้ ๕ ส่วน หรือ ๕ ขันธ์ คือ ๑. รูป คือส่วนประกอบฝ่ายรูปธรรมทั้งหมด ร่างกายและพฤติกรรมทั้งหมดของร่างกาย ได้แก่ ส่วนที่ผสมกันของธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ เช่น ผม หนัง กระดูก โลหิต  ๒.เวทนา ได้แก่ ระบบประมวล ความรู้สึกว่า ชอบหรือไม่ชอบ และเฉยๆ ๓.สัญญา ได้แก่ ความกำหนดได้หมายรู้ หรือการจำสิ่งที่ได้รับและรู้สึกนั้นๆ ๔. สังขาร ได้แก่ เป็นองค์ประกอบหรือคุณสมบัติของจิตมีเจตนาเป็นตัวนำ ซึ่งแต่งให้จิตดี ชั่ว เป็นกลางๆ เป็นระบบคิดปรุงแต่ง แยกแยะสิ่งที่รับรู้สึกและจำได้นั้นๆ ๕.วิญญาณ ได้แก่ การรู้แจ้งอารมณ์ประสาททั้ง ๕ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กายและทางใจคือ การเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การรู้รส การรู้สัมผัสกายและการรู้อารมณ์ทางใจ   จะเห็นได้ว่าชีวิตหรือตัวตนเกิดมาจากขันธ์ทั้ง ๕  เป็นเหตุเป็นปัจจัยแก่กันและกัน  กล่าวคือ ขันธ์ทั้ง๕มาประชุมรวมกัน อย่างพึ่งพาอาศัย เป็นปัจจัยกันและกันเป็นตัวตนหรือชีวิตขึ้น  กล่าวคือยังต้องทํางานประสานกัน เป็นเหตุปัจจัยแก่กันและกันไปในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่     ขันธ์ ๕ เองนั้นไม่ได้เป็นตัวก่อโทษก่อทุกข์ใดๆอีกทั้งยังเป็นสิ่งจําเป็นยิ่งในการดํารงชีวิต แต่ถ้าประกอบด้วยอุปาทานร่วมด้วยแล้ว   ก็จักทําให้ขันธ์ ๕ ที่เกิดขึ้นเพื่อการดํารงชีวิตนั้นถูกครอบงําด้วยอุปาทานที่มีกิเลสและตัณหาเป็นเหตุปัจจัยให้เกิด   ซึ่งก็คือขันธ์ ๕  นั้นจะได้ถูกครอบงําแปรปรวน  แฝงหรือประกอบด้วยอุปาทานอันก่อให้เกิดทุกข์อุปาทานหรืออุปาทานขันธ์๕ ที่เกิดแล้วดับ เกิดแล้วดับๆๆๆ...อยู่ในชราในวงจรปฏิจจสมุปบาท   ในการทำให้ดับไปซึ่งอุปาทานขันธ์๕ โดยการรู้แจ้งใน ๔ ขั้นตอน ในองค์ประกอบขันธ์๕( รูป เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณ)คือ รู้แจ้งในขันธ์๕  ความเกิดของขันธ์๕ ความดับของขันธ์๕และปฏิปทาหรือหนทางอันให้ถึงความดับของขันธ์๕ ดังนั้นการดับอุปาทานขันธ์เปรียบเสมือนการดับความทุกข์
           ๓. การทำให้ถึงการทำที่สุดของโลก(ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บและไม่ตาย) คือทำที่สุดแห่งทุกข์ ในที่นี้บัญญัติเรียกว่าโลก(ทุกข์)  เหตุให้เกิดโลก(ทุกข์)  การดับของโลก(ทุกข์)  ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งโลก(ทุกข์)  ในร่างกายของมนุษย์มีประมาณวาหนึ่ง ที่มีสัญญา และ มีใจครอง  ดังข้อความในพระไตรปิฎกว่า  “พ. ดูกรอาวุโส ที่ใดเป็นที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตาย ไม่จุติ ไม่อุปบัติ เราไม่พูดถึงที่นั้นอันเป็นที่สุดของโลก ว่าควรรู้ ควรเห็น ควรบรรลุ ด้วยการเดินทาง ก็ถ้าหากเรายังไม่บรรลุถึงที่สุดของโลกแล้ว ก็จะไม่กล่าวถึงการกระทำที่สุดของทุกข์ ก็แต่ว่าเราบัญญัติเรียกว่าโลก เหตุให้เกิดโลก การดับของโลก และทางให้ถึงความดับโลก ในสรีระร่าง มีประมาณวาหนึ่งนี้ และพร้อมทั้งสัญญา พร้อมทั้งใจครอง ฯแต่ไหนแต่ไรมา ยังไม่มีใครบรรลุถึงที่สุดโลกด้วยการเดินทาง และเพราะที่ยังบรรลุถึงที่สุดโลกไม่ได้
จึงไม่พ้นไปจากทุกข์ ฯเหตุนั้นแหละ คนมีปัญญาดี ตระหนักชัดเรื่องโลก ถึงที่สุดโลกได้อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว รู้จักที่สุดโลกแล้ว เป็นผู้ระงับแล้ว จึงไม่หวังโลกนี้และโลกหน้า ฯ” (สํ. สคา. ๒๔/๒๙๘/๒๙๔)
           ๔.  พุทธเจ้าทั้งหมดนั้น ตรัสรู้  ซึ่งอริยสัจสี่ตามความเป็นจริง ดังข้อความในพระไตรปิฎก “พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่าใดเหล่าหนึ่ง  ในอดีตกาล....  ในอนาคตกาล...  ในปัจจุบัน  ตรัสรู้ตามความเป็นจริง.  พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมดนั้น  ตรัสรู้ ซึ่งอริยสัจสี่ตามความเป็นจริง.”        (สํ. มหา. ๓๑/๑๗๐๔/๔๔๑)  “เพราะได้ตรัสรู้อริยสัจสี่แลตามความเป็นจริง  ตถาคต  จึงได้ชื่อว่าเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า.” (สํ. มหา. ๓๑/๑๗๐๓/๔๔๑) จากข้อ๓และ๔  พระพุทธเจ้าตรัสรู้เรื่อง อริยสัจ๔ ซึ่งหมายถึง สัจจะที่พระอริยะตรัสรู้  มี ๔ ประการ คือ ๑.ทุกข์หมายถึง ความทุกข์ หรือสภาพที่ทนอยู่ยาก ได้แก่ ปัญหาต่างๆของมนุษย์  ๒.สมุทัย คือเหตุเกิดแห่งทุกข์ ได้แก่ ความอยากที่ยึดถือตัวตนเป็นที่ตั้ง  ๓. นิโรทหมายถึง ความดับทุกข์ ได้แก่ ภาวะที่เข้าถึงเมื่อกำจัดอวิชชา สำรอกตัณหาสิ้นแล้ว เป็นต้น และ๔. มรรค คือข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์  ได้แก่  อริยมรรค๘  คือ สัมมาทิฎฐิ (ความเห็นชอบ)   สัมมาสังกัปปะ(ดำริชอบ)   สัมมาวาจา(วาจาชอบ)  สัมมากัมมันตะ(กระทำชอบ)   สัมมาอาชีวะ(เลี้ยงชีพชอบ) สัมมาวายามะ(พยายามชอบ) สัมมาสติ
(ระลึกชอบ)และสัมมาสมาธิ(จิตมั่นชอบ) สรุปได้ว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้อริยสัจ๔ เป็นเรื่องของการดับทุกข์ 
         ๕.  พระตถาคตตรัสรู้ว่าธาตุคือความตั้งอยู่ตามธรรมดา  ซึ่งโดยธรรมดาของธรรมชาติคือสังขารไม่เที่ยง  เป็นทุกข์  ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา  แล้วนำมาบอก  แสดง  บัญญัติ ตั้งไว้  เปิดเผย  จำแนกและทำให้ให้เข้าใจง่าย  ดังข้อความในพระไตรปิฎกว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะตถาคตอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่อุบัติขึ้นก็ตาม ธาตุนั้น คือ ความตั้งอยู่ตามธรรมดา ความเป็นไปตามธรรมดาก็คงตั้งอยู่อย่างนั้นเอง ตถาคตตรัสรู้ บรรลุธาตุนั้นว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง ครั้นแล้วจึงบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้เข้าใจง่ายว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะตถาคตอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่อุบัติขึ้นก็ตาม ธาตุนั้น คือ ความตั้งอยู่ตามธรรมดา ความเป็นไปตามธรรมดา ก็คงตั้งอยู่อย่างนั้นเอง ตถาคตตรัสรู้ บรรลุธาตุนั้นว่า สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ครั้นรู้แล้วจึงบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้งเปิดเผย จำแนก ทำให้เข้าใจง่ายว่า สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะตถาคตอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่อุบัติขึ้นก็ตามธาตุนั้น คือ ความตั้งอยู่ตามธรรมดา ความเป็นไปตามธรรมดา ก็คงตั้งอยู่อย่างนั้นเอง ตถาคตตรัสรู้ บรรลุธาตุนั้นว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ครั้นแล้ว จึงบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้เข้าใจง่ายว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ฯ” (อํ. ติก. ๓๑/๕๗๖/๕๙๗)    จากข้อมูลข้างได้กล่าวถึง กฎธรรมชาติ หรือไตรลักษณ์ ไม่เที่ยง(อนิจจัง) เป็นทุกข์(ทุกขัง)และอนัตตา เมื่อเข้าใจกฎธรรมชาติของสิ่งต่างๆอย่างถ่องแท้จะถอดถอนกิเลส ตัณหาจากอุปาทานขันธ์๕  ทำให้พ้นทุกข์
        ๖. ความเป็นเหตุเป็นผลและความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันจนเป็นผลให้เกิดทุกข์และการแสดงเหตุที่ทำให้ทุกข์นั้นดับลงไป ดังข้อความในพระไตรปิฎก “ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อเรายังเป็นพระโพธิสัตว์ ก่อนตรัสรู้ยังมิได้ตรัสรู้ ได้มีความปริวิตกดังนี้ว่า โลกนี้ถึงความยากแล้วหนอ ย่อมเกิด แก่ตาย จุติ และอุปบัติ และเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ยังไม่รู้ธรรมอันออกจากทุกข์ คือชราและมรณะนี้ เมื่อไรเล่า ความออกจากทุกข์ คือชราและมรณะนี้จักปรากฏ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรานั้นได้มีความปริวิตกดังนี้ว่า เมื่ออะไรหนอมีอยู่ ชราและมรณะจึงมี ชราและมรณะย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรานั้นเพราะกระทำไว้ในใจโดยแยบคาย จึงได้รู้ด้วยปัญญาว่า เมื่อชาติมีอยู่ ชราและมรณะ จึงมี ชราและมรณะย่อมมีเพราะชาติเป็นปัจจัย ... เมื่ออะไรหนอมีอยู่ ชาติจึงมี ชาติย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่อภพมีอยู่ ชาติจึงมี ชาติย่อมมีเพราะภพเป็นปัจจัย ... เมื่ออะไรหนอมีอยู่ ภพจึงมี ภพย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ...เมื่ออุปาทานมีอยู่ ภพจึงมี ภพย่อมมีเพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ... เมื่ออะไรหนอมีอยู่ อุปาทานจึงมี อุปาทานย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่อตัณหามีอยู่ อุปาทานจึงมี อุปาทานย่อมมีเพราะตัณหาเป็นปัจจัย ... เมื่ออะไรหนอมีอยู่ ตัณหาจึงมี ตัณหาย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่อเวทนามีอยู่ ตัณหาจึงมี ตัณหาย่อมมีเพราะเวทนาเป็นปัจจัย ... เมื่ออะไรหนอมีอยู่ เวทนาจึงมี เวทนาย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่อผัสสะมีอยู่ เวทนาจึงมี เวทนาย่อมมีเพราะผัสสะเป็นปัจจัย ...เมื่ออะไรหนอมีอยู่ ผัสสะจึงมี ผัสสะย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่อสฬายตนะมีอยู่ ผัสสะจึงมี ผัสสะย่อมมีเพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย ... เมื่ออะไรหนอมีอยู่ สฬายตนะจึงมี สฬายตนะมีย่อมเพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่อนามรูปมีอยู่ สฬายตนะจึงมี สฬายตนะย่อมมีเพราะนามรูปเป็นปัจจัย ... เมื่ออะไรหนอมีอยู่ นามรูปจึงมี นามรูปย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่อวิญญาณมีอยู่ นามรูปจึงมี นามรูปย่อมมีเพราะวิญญาณเป็นปัจจัย ... เมื่ออะไรหนอมีอยู่ วิญญาณจึงมี วิญญาณย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่อสังขารมีอยู่ วิญญาณจึงมี วิญญาณย่อมมีเพราะสังขารเป็นปัจจัย ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรานั้นได้มีความปริวิตกดังนี้ว่า เมื่ออะไรหนอมีอยู่ สังขารจึงมี สังขารย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรานั้น เพราะกระทำไว้ ในใจโดยแยบคาย จึงได้รู้ด้วยปัญญาว่า
เมื่ออวิชชามีอยู่ สังขารจึงมี สังขารย่อมมีเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ ... ดังพรรณนามาฉะนี้ ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ได้บังเกิดขึ้นแก่เราในธรรมที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า ฝ่ายข้างเกิด ฝ่ายข้างเกิด ดังนี้ ฯ”  “ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราได้มีความคิดดังนี้ เมื่ออะไรหนอแลไม่มีอยู่ ชราและมรณะจึงไม่มี เพราะอะไรดับ ชราและมรณะจึงดับ เพราะการใส่ใจโดยแยบคายของเรานั้น จึงรู้ได้ด้วยปัญญาว่า เมื่อชาติไม่มี ชราและมรณะจึงไม่มี เพราะชาติดับ ชราและมรณะจึงดับ เรานั้นได้มีความคิดดังนี้ว่า เมื่ออะไรหนอแล ไม่มีอยู่ ชาติจึงไม่มี ... ภพจึงไม่มี ... อุปาทานจึงไม่มี ... ตัณหาจึงไม่มี ... เวทนาจึงไม่มี ... ผัสสะจึงไม่มี ... สฬายตนะจึงไม่มี ... นามรูปจึงไม่มี ...เพราะอะไรดับ  นามรูปจึงดับ   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เพราะการใส่ใจโดยแยบคายของเรานั้น  จึงรู้ได้ด้วยปัญญาว่า  เมื่อวิญญาณไม่มี  นามรูปจึงไม่มีเพราะวิญญาณดับ  นามรูปจึงดับ  ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรานั้นได้มีความคิดดังนี้ว่า เมื่ออะไรหนอแล ไม่มีอยู่ วิญญาณจึงไม่มี เพราะอะไรดับ วิญญาณจึงดับ เพราะการใส่ใจโดยแยบคายของเรานั้น จึงรู้ได้ด้วยปัญญาว่า เมื่อนามรูปไม่มี วิญญาณจึงไม่มี เพราะนามรูปดับ วิญญาณจึงดับ เรานั้นได้มีความคิดดังนี้ว่ามรรคนี้เราได้บรรลุแล้วแล ด้วยปัญญาเครื่องตรัสรู้ คือ เพราะนามรูปดับ วิญญาณจึงดับ เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ ฯลฯ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เรายังไม่เคยได้ฟังมาในกาลก่อนว่า เหตุให้ทุกข์ดับ เหตุให้ทุกข์ดับ ดังนี้ ฯ  (สํ. นิ.๒๖/๒๕๑-๒๕๒/๓๐๖)    จากข้อมูลข้างต้นกล่าวถึงปกิจจสมุปบาท เป็นธรรมที่แสดงกฎของธรรมชาติ  ถึงความเป็นเหตุเป็นผลและความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันจนเป็นผลให้เกิดทุกข์และการแสดงเหตุที่ทำให้ทุกข์นั้นดับลง หรือกระบวนการเกิด-ดับของทุกข์  สำหรับในหัวข้อผลให้เกิดทุกข์ สรุปได้ดังนี้  อวิชชา    สังขาร    วิญญาณ  รูปนาม    สฬายตนะ    ผัสสะ    เวทนา   ตัณหา   อุปาทาน   ภพ    ชาติ   ชรามรณะ  ส่วนแสดงเหตุให้ทุกข์ดับลง    วิชชา    สังขารไม่มี วิญญาณไม่มี   รูปนามไม่มี    สฬายตนะไม่มี    ผัสสะไม่มี    เวทนาไม่มี    ตัณหาไม่มี   อุปาทานไม่มี   ภพไม่มี    ชาติ /ชรามรณะไม่มี  ส่วนแสดงเหตุให้ทุกข์ดับลง
        ๗. พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ทางสายกลางที่เป็นมัชฌิมาปฏิปทา ทางนั้นคือมรรคอันเป็นอริยะมีองค์ประกอบ ๘ ประการ  ดังข้อความในพระไตรปิฎก “ภิกษุทั้งหลาย เราได้พบมรรคาเก่า หนทางเก่า ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ เคยเสด็จไป ก็มรรคาเก่า
หนทางเก่า ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ เคยเสด็จไปนั้น เป็นไฉน คือมรรคาอันประกอบด้วยองค์ ๘ อันประเสริฐ นี้แล ได้แก่สัมมาทิฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ นี้แลมรรคาเก่า หนทางเก่า ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ เคยเสด็จไปแล้ว เราก็ได้เดินตามหนทางอัน
ประเสริฐซึ่งประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ อันเป็นทางเก่านั้นเมื่อกำลังเดินตามหนทางนั้นไปได้” (สํ. นิ.๒๖/๒๕๓/๓๐๖) พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ทางสายกลางที่เป็นมัชฌิมาปฏิปทาอันไม่คล้องแวะที่สุดสองอย่างคือ  หมกมุ่นด้วยกามสุขในกามทั้งหลายอันทราม เป็นของชาวบ้าน
ปุถุชน และการประกอบความลำบากเดือดร้อนแก่ตน ทางสายกลางคือ มรรคอันเป็นอริยะ มีองค์ประกอบ๘ประการ คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา  สัมมากัมมันตะ  สัมมาอาชีวะ  สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ
           การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า คือ รู้แจ้ง รู้อย่างแจ่มแจ้ง รู้ชัดเจน   ญาณ ๓ ได้แก่  บุพเพนิวาสานุสสติญาณ ความรู้เป็นเหตุให้ระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในอดีตได้ คือระลึกชาติได้  จุตูปปาตญาณ ความรู้ในจุติและอุบัติเกิดของสัตว์ทั้งหลาย เรียก ทิพพจักขุญาณ หรือ
ทิพยจักษุญาณ บ้าง   และ อาสวักขยญาณ ความรู้ในการกำจัดอาสวกิเสส จากข้อมูลในพระไตรปิฎกที่กล่าวถึงการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ได้กล่าวเรื่อง ขันธ์๕ อุปาทานขันธ์๕และสลัดออกจากอุปทานขันธ์๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณ การสลัดออกจากขันธ์๕
คือต้องรู้แจ้งขันธ์๕ การเกิดขันธ์๕ การดับของขันธ์๕และปฏิปทาหรือหนทางอันให้ถึงความดับของขันธ์๕ จะเห็นได้ว่าการสลัดออกจากขันธ์๕ใช้แนวทางปฏิบัติเดียวกับอริยสัจ๔   ในส่วนอริยสัจ๔ เมื่อเทียบเคียงธรรมที่เกี่ยวข้องได้ ดังนี้ ทุกข์ ได้แก่ อุปาทานขันธ์  สมุทัย
ได้แก่ อวิชชา   นิโรทได้แก่วิชชาและวิมุตติ และมรรคได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา    สำหรับกฎไตรลักษณ์คือ ไม่เที่ยง(อนิจจัง) เป็นทุกข์(ทุกขัง)และอนัตตา ซึ่งพระพุทธเจ้าได้เคยตรัสว่าอริยบุคคล คือผู้รู้ชัดรูป เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
เป็นสิ่งปรุงแต่ง บั่นทอนกันเอง    ดังนั้นกฎไตรลักษณ์ช่วยให้เข้าใจธรรมชาติของขันธ์และการสลัดออกจากอุปาทานขันธ์    ปกิจจสมุปบาท เป็นธรรมที่แสดงกฎของธรรมชาติถึงความเป็นเหตุเป็นผลและความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันจนเป็นผลให้เกิดทุกข์และการแสดงเหตุที่
ทำให้ทุกข์นั้นดับลง สรุปได้ว่าปกิจจสมุปบาทที่แสดงเป็นเหตุเป็นผลให้เกิดทุกข์มาจากความไม่รู้(อวิชชา)ในขันธ์๕ และเหตุที่ทำให้ทุกข์ดับมาจากความรู้(วิชชา)ในขันธ์๕   นอกจากนั้นพระพุทธเจ้าทรงประกาศพรหมจรรย์คือความประพฤติอันประเสริฐด้วยมรรคอันเป็นอริยะ
ประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ คือ  สัมมาทิฏฐิ  สัมมาสังกัปปะ  สัมมาวาจา   สัมมากัมมันตะ   สัมมาอาชีวะ   สัมมาวายามะ  สัมมาสติ  สัมมาสมาธิ เป็นวิธีปฏิบัติในการดับทุกข์หรือปฏิปทาหรือหนทางอันให้ถึงความดับของขันธ์๕   จากข้อธรรมข้างต้นที่ได้จากการตรัสรู้ของ
พระพุทธเจ้าอาจกล่าวได้ว่าล้วนมุ่งไปสู่หนทางในการดับทุกข์ และโดยหลักเกี่ยวข้องกับขันธ์๕  หรืออริยสัจ๔  
 
บรรณานุกรม                          
พระพรหมคุณาภรณ์.พุทธธรรม.พิมพ์ครั้งที่๓๖.กรุงเทพฯ:สำนักพิมพ์เพ็ทแอนด์โฮม.๒๕๕๖
พระพรหมคุณาภรณ์.พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม.พิมพ์ครั้งที่๒๕.กรุงเทพฯ:
            สำนักพิมพ์เพ็ทแอนด์โฮม.๒๕๕๖
มหามกุฏราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์. พระไตรปิฎก ฉบับสำหรับประชาชน. พิมพ์ครั้งที่ ๑๘.
            มปท:  มปป.
พระไตรปิฎกแปลไทย ฉบับหลวง ๔๕ เล่ม,๒๐ มีนาคม ๒๕๕๗             
          <http://www.thepathofpurity.com/home/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0
           %B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%9B-    
           %E0%B8%8E%E0%B8%81-pdf/%E0%B9%81%E0%B8%9B%E0%B8%A5-
           %E0%B9%94%E0%B9%95-%E0%B9%80%E0%B8%A5-%E0%B8%A1-                  
           %E0%B8%89%E0%B8%9A-  %E0%B8%9A%E0%B8%AB%E0%B8                             
           %A5%E0%B8%A7%E0%B8%87/
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี การตรัสรู้,๒๖ มีนาคม ๒๕๕๗
           <http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0                                                                                                                                        
           %B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89
สรุปและวิเคราะห์การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า,  ๑๙ มีนาคม ๒๕๕๗                      
           <http://mediacenter.mcu.ac.th/data/caipyo/m4/Unit1/unit1-20.php>